เราทุกคนล้วนเป็นทุกข์จากการยึดติดกับบางสิ่งบางอย่าง ยึดติดกับสิ่งของ ยึดติดกับสถานที่ ยึดติดกับอดีต ยึดติดซึ่งกันและกัน และเมื่อคำว่า "การพลัดพราก แยกจาก ไม่พบ ไม่เจอ" ได้เดินทางมาถึง หลายคนสามารถจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นได้ ในขณะที่บางคนเกิดความรู้สึกผิดปกติบางอย่างเข้ามาแทนที่ ซึ่งนี่เป็นจุดที่เชื่อมโยงเข้ากับอาการทางจิตชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า Separation Anxiety
Separation Anxiety เป็นหนึ่งในกลุ่มโรควิตกกังวล นั่นก็คือความวิตกกังวลต่อการพลัดพรากหรือการแยกจาก เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นกับเด็กเมื่อต้องห่างจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นเวลานานๆ หรือบุคคลที่มีความหวาดวิตก โหยหา เมื่อต้องแยกจากสิ่งที่ตัวเองผูกพันมากๆ ซึ่งคิม จงวาน (นักร้องนำและผู้แต่งเพลงทั้งหมดของ Nell) ได้นำเรื่องราวที่วงต้องการจะนำเสนอเหล่านี้เข้าไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชโดยตรง นี่จึงเป็นที่มาของชื่ออัลบั้ม "Separation Anxiety" สตูดิโออัลบั้มเต็มชุดที่ 4 ของวง Nell (ไม่นับรวมอัลบั้มอินดี้) ออกมาเมื่อปี 2008 แม้ก่อนหน้านี้จะปล่อยอีพีอัลบั้มอะคูสติก Let's take a walk คั่นในปี 2007 แต่ก็นับว่าเป็นการห่างหายจากการออกอัลบั้มเต็มไปถึง 2 ปี นับจากอัลบั้ม Healing Process เมื่อปี 2006
แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาเขียนเพลงเอาไว้สำหรับอัลบั้มนี้ทั้งหมด 50 เพลง ทำการอัดเสียงจริงจำนวน 27 เพลง และเลือกแทร็กที่สามารถฟังไปด้วยกันอย่างลื่นไหลที่สุดมาใส่ในอัลบั้มนี้เพียง 11 เพลงเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นอัลบั้มที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย เพราะมีเพลงที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง นั่นก็คือเพลง 기억을 걷는 시간 (Time Spent Walking Through Memories) และ 멀어지다 (Drifting Apart) โดยทางวงใช้สองเพลงนี้เป็นเพลงโปรโมทหลักซึ่งเราจะพักเอาไว้ก่อน เพราะเพลงที่กล่าวถึงในตอนต่อไปนี้เป็นเพลงในแทร็กที่ 1 ที่มีชื่อเพลงเป็นชื่อเดียวกันกับชื่ออัลบั้ม นั่นก็คือเพลง "Separation Anxiety"
เหมือนกับไม่มีอากาศอยู่ตัว
ฉันหายใจไม่ออก ช่างน่าอึดอัดจนอยากจะบ้า
ท้องฟ้าถล่มลงมา
น้ำตาของฉันร่วงหล่น
กระจายไปทั่วหมู่เมฆที่อยู่ใต้เท้า
ถูกแล้วล่ะ
ฉันมันน่าเหนื่อยใจใช่ไหม
ฉันพังทลาย ฉันรู้ตัวดี
ถึงอย่างนั้น ฉันก็หวังให้เธออย่าไปจากฉันเลย
ถ้าฉันเพียงแก้ไขมันได้, จริงๆแล้วฉันดีกว่านี้
เพราะฉะนั้น ได้โปรด อย่าทิ้งฉันไว้ข้างหลังเลย
เพลง "Separation Anxiety" เป็นเหมือนเพลงที่แทนภาพรวมทั้งหมดของอัลบั้มนี้ ซึ่งล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องของความกระวนกระวายใจ ความหวาดหวั่นวิตกกังวล ความทุกข์ต่อการพลัดพราก แยกจากสิ่งที่เราผูกพัน หรือสูญเสียสิ่งที่เรายึดติดในชีวิต ในเพลงนี้จะมี Backmasking ซ่อนไว้ด้วย ถ้าเทียบกับคลิปเพลงด้านบนจะเป็นช่วงนาทีที่ 2:47-3:11 คือประโยคบ่นๆ สวดๆ เป็นภาษามนุษย์ต่างดาวที่ได้ยินคลอในพื้นหลังนั่นเอง ซึ่งเนื้อความส่วนนี้จะไม่มีเขียนไว้ในปกเนื้อเพลงในอัลบั้ม และทางวงก็ไม่ยอมที่จะเฉลย ซึ่งเพลงนี้เป็นหนึ่งในน้อยเพลงที่แฟนๆเอามา reverse แล้วก็ยังฟังไม่ค่อยออก แต่เมื่อไม่นานมานี้ลี แจคยอง (มือกีตาร์) ได้โพสเนื้อร้องในส่วนนี้แบบชัดๆไว้ใน instagram ส่วนตัว (11 ปีผ่านไป) ทำให้สามารถแกะเนืื้อเพลงที่กรอกลับแล้วออกมาได้
เพลงของวง Nell หลายเพลงมีการใช้เทคนิค Backmasking ซึ่งจะพบการซ่อนความหมายแฝงและมีการเข้ารหัสเต็มไปหมด ทั้งที่มีนัยยะและไม่มีนัยยะ หากใครสนใจสามารถดูได้จากคลิปที่รวบรวมไว้ด้านล่างนี้ ฟังแล้วก็เพลินดี รู้สึกแตกฉาน เหมือนได้ล่วงรู้ความลับดำมืดของจักรวาล ฮ่าๆ
NELL BACKWARD MASKING COMPILATION
"Separation Anxiety" เป็นเพลงที่มีความเปลี่ยนแปลงเด่นชัดในเรื่องของดนตรีเมื่อเทียบกับอัลบั้มก่อน มีการใช้เสียง synthesizer เพิ่มมากขึ้น ความจริงเนื้อเพลงชวนเศร้าและน่าสงสารมาก แต่เป็นเพลงที่มีจังหวะกลางๆ เลยทำให้รู้สึกว่าสว่างขึ้น (นิดนึง) ฟังง่ายและติดหู บางความเห็นตีความว่าเพลงนี้พูดถึงเรื่องการทำแท้ง ซึ่งถูกใช้ประกอบเป็นซาวด์แทร็กในภาพยนต์ทริลเลอร์ สยองขวัญ เรื่อง Loner (2008) (ขอถอนที่เขียนไปก่อนหน้า ไม่สว่างละก็ได้) เป็นเพลงที่วงเล่นสดอยู่บ้าง ล่าสุดก็คือในคอนเสิร์ต "Christmas in Nell's Room 2018" ที่ผ่านมา
Separation Anxiety : Loner OST
Separation Anxiety : Christmas in Nell's Room 2018
ณ ช่วงเวลาที่อัลบั้มนี้ออกตอนแรก ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยนักวิจารณ์บางส่วนว่าวง Nell สูญเสียสีสันทางดนตรีแบบเดิม เนื่องจากอัลบั้มนี้มีการใช้เสียงสังเคราะห์เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างเช่นในเพลง Tokyo หรือเพลง 기억을 걷는 시간 (Time Spent Walking Through Memories) ที่ไม่มีการใช้กีตาร์เลย เพลง Fisheye lens ที่ไลน์เบสน้อยมากๆ ซึ่งวง Nell เคยกล่าวว่า เนื้อหาของเพลงเป็นส่วนทำให้สเกลของดนตรีใหญ่ขึ้น และเพลงแต่ละเพลงของพวกเขามีความเฉพาะตัวแตกต่างกัน และหน้าที่ของนักดนตรีก็คือการพรีเซนต์ความเฉพาะตัวนั้น ซึ่งหากคาแร็กเตอร์ในเพลงนั้นๆเหมาะกับการใช้เสียงสังเคราะห์ มันก็ต้องลงเอยตามนั้น หรือหากเพลงไหนที่โครงสร้างและอารมณ์เป็นส่วนพาให้ยืดยาวออกไป เพลงมันก็ต้องยาวตามนั้น โดยที่วงไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นเพลงที่ยาวเกินปกติหรือไม่ (เพลง 12 seconds ยาว 8:44 นาที) แต่ในขณะเดียวกัน อัลบั้มนี้ก็ได้รับคำชมและเป็นที่ชื่นชอบของคนในวงกว้าง ซึ่งกวาดรางวัลมากมายในปีนั้นๆ โดยเฉพาะเพลง 기억을 걷는 시간 (Time Spent Walking Through Memories)
เราทุกคนล้วนเติบโตและมีความเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ คิม จงวานเคยบอกว่าตัวเขาเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากในระหว่างที่ทำอัลบั้มนี้ งานเพลงของ Nell ก็คงเป็นเช่นนั้น สำหรับเราการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับวงดนตรี ยิ่งวงที่มีอายุวงนานและไต่เส้นระหว่างความอินดี้และความแมส พอเปลี่ยนสไตล์นิดหน่อย ก็จะถูกค่อนขอดว่าวงนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา มันก็ยังเป็นของที่ดีมากๆอยู่ไม่ใช่หรอ เนื้อเพลงยังมีเนื้อหาที่เข้มข้น คงความ sensitive ตามแบบฉบับ แล้วก็เพราะจะตาย ฟังเรียงเพลงไปทั้งอัลบั้มก็จะรู้ว่ามันถูกออกแบบให้มีต้น กลาง ปลาย แทนที่จะมองว่าเป็นการสูญเสียแนวดนตรีแบบเดิม ในทางกลับกัน วงได้ค้นพบความหลากหลายทางดนตรีแบบใหม่ๆ ซึ่งพวกเขาก็ยังทำออกมาในแบบที่ตัวเองชอบ และไม่ว่าวงจะหันไปหยิบจับแนวดนตรีแบบใด พวกเขาก็สามารถนำเสนอออกมาได้ในดนตรีแบบของ Nell ที่มีความดีงามเสมอ ซึ่งใครฟังก็ต้องรู้เลยว่า นี่แหละ เพลงของวง Nell
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in