The Promise เป็นเรื่องราวของชาวอาร์เมเนียนที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิออตโตมัน (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปกว่าหนึ่งล้านห้าแสนคนตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงปี 1915-1916
จักรวรรดิออตโตมันในสมัยนั้นมีชาวเติร์กซึ่งเป็นมุสลิมและชาวอาร์เมเนียนซึ่งเป็นคริสต์อาศัยอยู่รวมกันราวครึ่งต่อครึ่ง หนังได้บอกเล่าผ่านทางมิคาเอล โบโกเซียน (ออสการ์ ไอแซค) เภสัชกรหนุ่มจากสิโรน เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของชาวอาร์เมเนียนที่เดินทางไปเรียนวิชาแพทย์ยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (กรุงอีสตันบูลในปัจจุบัน) ที่นั่นเขาได้พบกับอานา คาเซเรียน (ชาร์ล็อตต์ เลอ บง) ศิลปินชาวอาร์เมเนียนซึ่งเป็นครูสอนพิเศษให้กับลูกของลุงที่เขาไปอาศัยอยู่ด้วยและคริสโตเฟอร์ ไมเยอร์ส (คริสเตียน เบล) นักข่าวชาวอเมริกันที่มาทำข่าวสงครามที่กำลังปะทุอยู่
กลายเป็นว่ามิคาเอลตกหลุมรักอานาทั้งที่เขามีคู่หมั้นที่สิโรนอยู่แล้ว และในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของอานากับคริสโตเฟอร์ก็เริ่มจะระหองระแหง แต่แล้วเมื่อสงครามร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ทางฝั่งเติร์กจึงเริ่มกวาดต้อนชาวอาร์เมเนียนไปใช้แรงงานและทำการสังหารเมื่อหมดประโยชน์ มิคาเอลสามารถหลบหนีออกมาได้ เขาจึงหาทางกลับบ้านที่สิโรนเพื่อไปหาครอบครัว อานากับคริสพาครอบครัวของลุงมิคาเอลหลบหนีมาด้วยเช่นกัน พวกเขาต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ให้จงได้
ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะดูเรื่องนี้ค่ะ แต่เพื่อนอยากดูก็เลย เออ ไปก็ไป ได้ดูทริลเลอร์ก่อนเล็กน้อย รู้สึกว่าน่าสนใจดีเพราะ 1. คริสเตียน เบลเล่น 2. สร้างมาจากเรื่องจริง (ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ด้วยว่าคือเรื่องอะไร) เราก็เลยยอมตกลงง่ายๆ แต่โดยดี
ด้วยความที่เราไม่ได้รู้มาก่อนว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร เราเลยค่อนข้างงงอยู่พอสมควรว่านี่เรามาดูอะไรกันวะเนี่ย ตอนที่ประกาศสงครามแล้วไล่ต้อนชาวอาร์เมเนียนเราก็งงว่าทำไมต้องไล่ แต่ดูไปเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจไปทีละน้อย (แบบน้อยมากๆ) กว่าเราจะรู้ว่านี่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งแรกของศตวรรษที่ 20 ก็ตอนที่หนังจบแล้วละเค้ามีขึ้นบอกให้นั่นแหละค่ะ = ="
หนังจะเดินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ เรื่อยมากๆ มันไม่ถึงกับน่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจให้รู้สึกอยากติดตามสักเท่าไหร่ จนกระทั่งเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนหนังใกล้จบแล้วจริงๆ ที่มันเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ และทำออกมาได้ดีมากเพราะเราถึงขั้นเครียดตามเลย เราก็เลยเรทให้เรื่องนี้อยู่ที่ 7 คะแนนค่ะ ความประทับใจของหนังในช่วงหลังมันมีมากพอที่จะชดเชยความเรื่อยๆ เอื่อยๆ ในช่วงแรกได้อยู่เหมือนกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in