"ตุ๊กตาจ๋า ข้ารักเจ้ายิ่ง ชาตินี้บุญน้อยจริง
ไม่อาจเป็น เจ้าของ ยังรักยังผูกพัน ฝังจิตใจปอง ขอฝาก เจ้าช่วยร้อง.......... หนูอยากกลับบ้าน
"
เพลงประกอบละครยุคเก่าสมัยผมยังเด็ก ยังดังก้องอยู่เสมอในความคิด เวลาที่นึกภาพตุ๊กตาตัวใหญ่เท่าเด็กสองขวบ ผมสีน้ำตาลอมแดงประกายมะฮอกกานี ดวงตากลมโตสีฟ้าสดใส แต่เวลามองเข้าไปในตาแล้ว ผมกลับรู้สึกกลัวอย่างประหลาด
ผมจำได้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นเข้ามาอยู่ในครอบครัวเรา เพราะเป็นตุ๊กตายอดฮิตสำหรับเด็กสาวสมัยก่อน เธอเป็นผู้นำแฟชั่นของเล่นเด็กหญิงในสมัยนั้นจริงๆ ชนิดที่ว่ามีกันเกือบทุกบ้าน อาจจะฮิตกว่าตุ๊กตาบาบี้ หรือตุ๊กตาบลายด์ใส่บิ๊กอายด้วยซ้ำไปถ้าเทียบกันตอนนั้น ซึ่งแน่นอนว่าน้องสาวผมต้องถูกอกถูกใจ กอดๆหอมๆกันทั้งวัน แถมตั้งชื่อให้อีกว่า
"พี่น้ำอ้อย"
เค้าว่ากันว่า ถ้าไม่อยากผูกพันกับสิ่งใด อย่าไปตั้งชื่อให้ ซึ่งนั่นคงจะจริงทีเดียว เพราะทุกวันนี้ตุ๊กตาหลายๆตัวรอบๆตัวผม มีชื่อกันทั้งนั้น และแน่นอน ถ้ากอดตัวไหนอีกตัวจะน้อยใจ ซึ่งนั่นนำมาซึ่งความวุ่นวายพอสมควรทีเดียว (บอกแล้วอย่าไปตั้งชื่อให้)
กลับไปที่ "พี่น้ำอ้อย" เธอคงได้ชื่อมาจากสีผมน้ำตาลอมแดงของเธอกระมัง พี่น้ำอ้อยมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าตุ๊กตาเด็กทั่วไปนิดหน่อย เช่น เวลาล้มตัวนอนราบเธอจะหลับตา นั่งจะลืมตา หรือเวลาโดนกระแทกเบาหรือจะแรง เธอจะส่งเสียงร้อง อี้ๆ เบาๆออกมาด้วย ซึ่งฟังแล้วสยองดีพิลึก
ตามประสาเด็กผู้ชายที่อาจจะซนแก่นบ้าง หลังจากผมควักเอาไส้ในพี่หมีตัวโตที่โทรมเก่าของพี่ชายจนขาพิการและไส้แตกไปแล้ว พี่น้ำอ้อยจึงเป็นเป้าหมายต่อไป เวลาจะแกล้งน้องสาว ผมมักจับเอาพี่น้ำอ้อยมาเหวี่ยงๆ หรือจับทำท่าสกูลไพน์ไดร์ฟเวอร์ของซันจีฟแห่ง street fighter เกมยอดนิยมสมัยนั้น จนหัวทิ่มลงพื้น แน่นอนพี่น้ำอ้อยจะร้องอี้ๆตามปกติ แต่ที่จะร้องไห้หนักมากคือน้องสาวของผมเอง ซึ่งพี่น้ำอ้อยหลังจากโดนท่าไม้ตายที่กดสูตรยากที่สุดในเกมส์ไปแล้ว ก็จะนอนสลบอยู่บนที่นอน ข้างๆมีน้องสาวผมกำลังร้องไห้จ้า ส่วนตัวผมก็จะอยู่ให้แม่ตีทำไมละท่าน หนีสิครับ!
พี่น้ำอ้อย ถูกทำร้ายอยู่บ่อยๆ จนวันหนึ่ง!
ภาพยนต์ไทยหลังข่าวช่องมากสี นำเรื่องตุ๊กตาจ๋ามาฉาย สมัยนั้นชาวบ้านไม่ทำอะไรหรอกครับ ถ้ามีทีวีก็นั่งดูละครหลังข่าว ไม่มีหน้าจอมาให้ สไลด์ๆรูดๆขยายๆหดๆ เหมือนสมัยนี้หรอกครับ แน่นอนว่าละครสมัยโบราณต้องยกให้ช่องมากสีเค้า (ขอยอมรับว่าสมัยนี้ไม่เคยเปิดไปดูเลย) เรื่องราวเป็นการดำเนินเรื่องราวเกี่ยวกับความลึกลับของตุ๊กตาที่บ้านหลังหนึ่งซื้อมาให้ลูกสาว
ซึ่งในละครตุ๊กตาสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยแรงอาฆาตของเด็กสาวชาวกัมพูชา ที่ถูกจับมาขายแรงงานในโรงงานนรกที่ผลิตตุ๊กตายอดฮิต แบบเดียวกับ "พี่น้ำอ้อย" เป๊ะ ซึ่งตุ๊กตาแบบเดียวกันนี้เองที่เดินไปมาในหนัง แถมไล่ฆ่าคนได้ด้วย น่าสยดสยองมากๆ โดยเฉพาะเวลาที่ผมหันไปสบตากลมโตสีฟ้าของพี่น้ำอ้อยที่นั่งอยู่บนเตียงนอน ในยามวิกาล...
"ไม่นะ...........ไม่"
ภาพการทารุณกรรมของผมที่กระทำกับเธอมายาวนาน flash back เข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว ความหวาดหวั่นเข้าครอบงำผมทีละน้อย เวลาผมต้องขึ้นไปห้องนอนคนเดียว ผมจะมองหาพี่น้ำอ้อยก่อนว่าเธออยู่ไหน นอนนิ่งๆบนเตียงมั้ย หรือหลบไปถือมีดอยู่ตามมุมห้องหรือเปล่า โอ้วพระเจ้า มันขนลุกขนพองจริงๆ จนต้องรีบปรี่ออกมาจากห้องนอนทันทีที่ทำได้
"เวรกรรมมันมีจริง"
ตอนนี้ "พี่น้ำอ้อย" เป็นผู้กำชะตากรรมของผมซะแล้ว ผมกับพี่น้ำอ้อยคงอยู่ร่วมห้องกันไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่น้องสาวผมเริ่มเบื่อตุ๊กตาตัวโปรดแล้ว เพราะแม่เอาบาบี้เปลี่ยนชุดได้มาจาก USA (มั้ง?) พี่น้ำอ้อยถูกหมางเมินตามชะตากรรมทั่วไปของของเล่นเด็กที่ตกยุค ผมจำได้ลางๆว่าผมเจอพี่น้ำอ้อยในช่วงท้ายๆของความทรงจำคือ เธอถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บของ นั่งรวมกับกองของเก่าเก็บทั้งหลาย
ผมยังกลัวๆกล้าๆเสมอ เวลาเดินเข้าไปในห้องเก็บของ ยังมองหาว่าพี่น้ำอ้อยยังนั่งที่เดิมหรือเปล่า แน่นอนว่าพี่น้ำอ้อยในชุดสีฟ้าที่ตอนนี้ดูหมองไปมาก มีรอยปากกาลูกลื่นสีน้ำเงินขีดอยู่ตามแก้มประปราย มือที่เคยอวบอูมสีชมพูเรื่อๆ ตอนนี้สีดำหมองและสกปรก พี่น้ำอ้อยดูน่าสงสารกว่าน่ากลัวแล้วตอนนั้น แต่ผมก็ยังกริ่งเกรงเธอจะแก้แค้นอยู่เสมอ
หลังจากการปรับปรุงบ้านครั้งใหญ่ ผมก็ไม่เจอพี่น้ำอ้อยอีกต่อไป จำไม่ได้ว่าแม่ยกให้ใครไปหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้พบกับพี่น้ำอ้อยอีกเลย และที่แน่ๆอีกอย่างคือ พี่น้ำอ้อยไม่เคยแก้แค้นผมที่เคยจับทำท่า leg lock แต่อย่างใด
แต่สิ่งที่พี่น้ำอ้อยสอนเด็กชายจอมซนในตอนนั้นคือ "การกระทำใดๆ ยอมมีผลของมันเสมอ" เหมือนสิ่งที่ผมแกล้งตุ๊กตาตาโต ใส่เลนส์ตาเทียมสีฟ้าใส ที่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ย้อนกลับมาสร้างความกลัวให้ผม กลับเป็นความรู้สึกผิด ความกลัวกับการกระทำของตนเอง ซึ่งไม่ได้เกิดจากตุ๊กตาที่นอนนิ่งบนเตียงเลยแม้แต่น้อย ตัวเองทั้งนั้นที่ทำ สิ่งที่กลับย้อนมาทำร้ายตนเองด้วยความรู้สึกของตนเอง
"เราจะสุข เราจะทุกข์ คงไม่มีใครที่ไหนทำให้เราเป็น คงเป็นแต่ใจของเราเป็นแน่แท้เชียว ที่สร้างมันขึ้นเองทั้งสิ้น"
ขอบคุณพี่น้ำอ้อยอีกครั้ง ที่ไม่กลับมาแก้แค้นผม แต่กลับสอนสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ผมหวังแต่เพียงว่า "พี่น้ำอ้อย" คงไม่ต้องผจญกับเด็กจอมซนแบบผมอีกต่อไปแล้ว โชคดี ลาก่อน...
"แมเออ โตปะเตีย
แมเออ โตปะเตีย"
แต่เสียงเรียกของตุ๊กตาจากโรงงานนรก เป็นภาษากัมพูชาที่น่าจะแปลว่า "หนูอยากกลับบ้าน" ยังดังก้องในหัวผมเสมอ เวลาเห็นตุ๊กตาบางตัว......ตลอดมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in