สถานที่นัดพบประจำของพวกเขาคือบันไดหนีไฟข้างอาคาร โดยปกติพวกเขามักใช้มันเป็นทางเดินขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้า แต่หลัง ๆ มานี้เพราะอ่อนล้าจากการซ้อมมากจนไม่อยากเดินไปสูง ๆ เลยมาจบลงที่การทิ้งตัวลงบนขั้นบันได ด้วยความที่อยู่ในจุดอับสายตาจึงแทบไม่มีคนใช้ และแจ็คสันกับมาร์คก็สบายใจกับการนั่งมองตึกรามบ้านช่องจากตรงนี้ดี
มาร์คนั่งเอนหลังพิงขั้นบันไดอยู่ตอนที่เสื้อยีนส์กลิ่นคุ้นเคยวางแปะลงบนศีรษะ เขาหยิบมันออกมาโดยไม่ต้องถามว่าใครเป็นเจ้าของ แล้วก็บ่นอุบ
“อะไร?”
แจ็คสันนั่งลงที่บันไดขั้นเดียวกัน ห่างจากเขาไปไม่ถึงฝ่ามือ ในมืออีกฝ่ายถือกระป๋องเบียร์อยู่สองกระป๋อง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นเป็นของมาร์คเอง
พอได้ยินคำถามก็หันมาบอกเขาก่อนก้มหน้าก้มตาเปิดกระป๋องเบียร์ว่า “คลุมไว้ เดี๋ยวไม่สบาย”
มาร์คมองคนพูดที่สวมแค่เสื้อกล้ามสีดำแล้วถอนหายใจ เขาดึงฮู้ดของเสื้อตัวเองขึ้นมาคลุมศีรษะไว้ แล้วยื่นเสื้อกลับไปให้แจ็คสัน อีกฝ่ายพอเห็นเขาใส่ฮู้ดก็ไม่ว่าอะไร เพียงแค่ยื่นกระป๋องเบียร์ที่เปิดแล้วให้
“ขอบใจ” เขาพูดสั้น ๆ
พวกเขานั่งกันเงียบ ๆ จิบเบียร์ไปมองแสงสว่างจากตึกตรงข้ามไป มาร์คเอนศีรษะลงกับขั้นบันได แปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้แจ็คสันไม่มีเรื่องชวนคุย ถึงเขาจะเงียบ แต่ปกติเวลาอยู่ด้วยกันแจ็คสันก็จะพูดมากจนมาร์คต้องพูดด้วยเป็นประจำ
จนเขาอดไม่ได้
“ทำไมวันนี้เงียบจัง”
“หืม?” แจ็คสันหันมา กะพริบตาใส่เขา “ก็อยากรู้ว่าอยู่เงียบ ๆ แล้วจะเป็นไงแค่นั้นแหละ”
“ชอบหรือไง?”
“ชอบความเงียบตอนอยู่กับนายอะ”
“…”
คนฟังแสร้งหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาจิบอีกรอบแก้เก้อ บางทีแจ็คสันก็ชอบพูดอะไรที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกอยู่เรื่อย เช่นประโยคเมื่อครู่เป็นต้น
‘ปกติเวลาอยู่หน้ากล้องนายร้ายกว่าฉันอีก’ แจ็คสันเคยบ่นเขาเมื่อนานมาแล้ว แต่มาร์คก็ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ
ในเมื่อแจ็คสันไม่มีอะไรจะพูด มาร์คก็ไม่รู้จะคุยอะไรเหมือนกัน เขายกเบียร์จิบไปเรื่อย ๆ จมดิ่งกับบรรยากาศเงียบสงบและน้ำค้างเย็น ๆ ได้อีกพักหนึ่ง แจ็คสันก็พูดขึ้นมา
“ขยับมาใกล้ ๆ หน่อยสิ”
เขาหันไปมอง แล้วก็ยอมขยับไปหาอ้อมแขนที่เหมือนรออยู่ก่อนแล้ว พอเขาเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แขนของแจ็คสันก็โอบช่วงเอวเขาพอดี
“หมดยัง?” เจ้าของเสื้อยีนส์ถาม มาร์คยกเบียร์ขึ้นจิบอีกรอบ ก่อนส่งกระป๋องให้ แจ็คสันรับมันไป แล้วเอี้ยวตัวไปวางมันไว้บนขั้นบันไดเหนือหัวพวกเขา
“อยากคุยอะไรไหม?” เขาหันไปถาม ไม่ใช่จะหาเรื่องหรืออะไร ก็แค่ถาม และแจ็คสันก็ตอบ
“ไม่อะ”
“งั้นนั่งเฉย ๆ?”
“ไม่ดิ”
“แล้วจะทำอะไร?”
มองสบนัยน์ตาที่มองมาทางเขาแล้วก็เริ่มรู้สึกถึงระยะห่างที่ลดลง มาร์คหลุดขำ จริง ๆ ตัวเขาเองเดาสถานการณ์ได้ตั้งแต่ที่แจ็คสันเอาเบียร์มาให้แล้ว เพราะปกติพวกเขาก็ไม่ได้กินบ่อย ถ้าจะมานั่งจิบเบียร์กันก็คงเป็นข้ออ้างเพื่ออะไรสักอย่าง
และเหตุผลยอดนิยมก็คือการจูบ
เพราะพวกเขาไม่ได้นั่งห่างกันเลย ตอนที่แจ็คสันขยับหน้าเข้ามาใกล้ ๆ จึงใช้เวลาไม่กี่วินาที แม้ในความรู้สึกของมาร์คจะช้าจนเขาเก็บรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าคมนั้นได้ สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปากพาให้มาร์คหลับตา รับรู้ว่าแจ็คสันกำลังเล็มเลียริมฝีปากเขาอย่างเพลิดเพลิน
ถึงจะชอบอ้างว่าเมา แต่เมาเบียร์นี่ไม่ใช่แจ็คสันหวังแน่ ๆ ทำไมถึงได้คิดว่าจะต้องมีข้ออ้างก็ไม่รู้…
มาร์คได้แต่คิดในใจ ขณะยกมือขึ้นไล้กรอบหน้าอีกฝ่ายช้า ๆ เขาจูบตอบกลับไปบ้าง ยังไงตรงนี้ก็ไม่มีคนผ่านมาอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเวลาตีสองตีสามแบบนี้ มือของแจ็คสันที่เคยอยู่ที่เอวเขากระชับขึ้นมาอีกจนมาร์คแทบจะเกยบนตัวอีกฝ่าย ทั้งยังไล้ไปทั่วแผ่นหลังจนรู้สึกแปลก ๆ
เขาอาศัยจังหวะชั่วขณะหนึ่งที่แจ็คสันผละริมฝีปากออกโพล่งขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน”
“อะไรล่ะ?”
แจ็คสันขมวดคิ้ว ดูไม่พอใจนิดหน่อย เหมือนเด็กโดนขัดใจ แต่มาร์คคิดว่าถ้าไม่ห้ามตอนนี้ก็ไม่รู้จะห้ามตอนไหนแล้ว
“จะปล่อยให้เลยเถิดตรงนี้ไม่ได้นะ…”
“แค่จูบนี่ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ใช่สิ” มาร์คกลอกตา “หรือนายจะแค่จูบจริง ๆ ? ก็ได้ จูบไปเลย แล้วไม่ต้องทำอะไรอีก”
เหมือนแจ็คสันจะเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว เลยหลุดยิ้มออกมา คนตรงหน้าปล่อยมือออกจากตัวเขา คว้ากระป๋องเบียร์ที่วางทิ้งไว้แล้วลุกขึ้น
“ก็ได้ กลับหอกัน”
FIN
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in