“ผมยาวเกินไปแล้วนะ” ชานยอลเดินเข้าไปหาคนที่นั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟาพร้อมยางมัดผมเส้นเดียวที่เขามี
“อื้อ” คนผมยาวเพียงขานรับในลำคอเพราะสมาธิและสายตาจดจ่ออยู่ที่จอโทรศัพท์
ดื้อจริง ๆ
“ชานยอล หิวแล้วอะ” เมื่อเกมจบลงเขาจึงหันไปบอกคนที่กำลังทำมื้อเช้าเป็นอาหารกลางวันอยู่ในครัว
“ใกล้เสร็จแล้วครับผม” ชานยอลหันมาบอกแล้วก็ต้องยิ้มให้กับคนที่บุ้ยหน้าเพราะทรงผมจุกแอปเปิ้ลฝีมือของเขา
“มัดไว้อย่างนั้นแหละแบคฮยอน” คนตัวสูงถอดผ้ากันเปื้อนออก พาดไว้ที่โซฟา และจับมือเล็ก ๆ ที่พยายามแกะยางมัดผมออก “ตอนกินข้าวผมจะได้ไม่ปรกหน้าไง”
“ก็คนมันไม่ชอบนี่ ตึงหนังหัวจะตาย” ริมฝีปากเล็กนุ่มหยุ่นที่ชานยอลแอบชอบมองอยู่เสมอขยับบ่นไม่หยุดหลังจากนั้นตามปกตินิสัย ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่ตัวเองกำลังจะส่งไส้กรอกชีสชิ้นเล็กเข้าปาก “อื้อหือ อร่อยม้ากมาก” แบคฮยอนฉีกยิ้มกว้างให้กับพ่อครัวส่วนตัวที่ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
“แบคฮยอน นายรู้จักพี่ยูรามั้ย”
เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก เขากำลังเดินไปที่โรงอาหารของโรงเรียน วันนี้เป็นวันแรกของเขาในฐานะนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง เขาไม่รู้จักแม้แต่คนที่ตะโกนถามตอนเราเดินสวนกัน
พี่ยูราคือใคร
แล้วคนคนนี้เป็นใครกัน
แบคฮยอนสับสนท่ามกลางความวุ่นวายของช่วงพักกลางวัน อากาศร้อน ผู้คน และอะไรก็ตามที่อยู่รอบตัวเขาขณะนี้ เขามองไปยังคนที่ถามผ่านแสงแดดจ้าในช่วงเที่ยงวัน ชุดนักเรียนที่เหมือนกับเขาและความสูงที่ไล่เลี่ยกัน เขาคิดว่าคนคนนี้คือเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง
“เอ่อ...ไม่ล่ะ”
แบคฮยอนไม่มั่นใจว่าเพื่อนคนนั้นได้ยินคำตอบของเขาแผ่วเบาหรือเป็นเพราะอ่านปากของเขาออกกันแน่จึงได้พยักหน้าเข้าใจและเดินต่อไป
พี่ยูรางั้นเหรอ
ใช่คนที่พาเขาไปห้องเรียนเมื่อเช้าหรือเปล่านะ?
โดยส่วนใหญ่แล้วความทรงจำของจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่าง ๆ นั้นมักพร่าเลือน มันอาจเริ่มต้นขึ้นระหว่างทางไปโรงอาหารในวันเปิดเรียนชั้นประถมหนึ่ง หรืออาจเป็นในเช้าวันหนึ่งที่เขาเดินเข้าไปในห้องเรียนแล้วพบว่ามีเพื่อนร่วมห้องนั่งอยู่เพียงคนเดียว แบคฮยอนไม่แน่ใจนัก เขามองแผ่นหลังกว้างที่มักอยู่ด้านหน้าของตนเสมอ แบคฮยอนมักเดินอยู่ข้างหลังแม้ตัวเขาจะเล็กกว่าและนั่นทำให้เขามองไม่เห็นเส้นทางด้านหน้า แต่การเดินตามหลังทำให้เขาได้กลิ่นน้ำหอมของอีกฝ่ายชัดเจน เขาชอบมันจนเกือบเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ เมื่อใดที่สบโอกาส จมูกเล็ก ๆ จะถูกวางบนที่ใดที่หนึ่งของแผ่นหลังกว้าง มีผู้คนมากมายชื่นชอบในความหล่อเหลาของชานยอล เขาเข้าใจถึงข้อนั้นดี แต่กระนั้นแบคฮยอนก็ขอทัดทานด้วยเช่นกัน กลิ่นน้ำหอมที่ปนกับกลิ่นกายเฉพาะตัวและความเอาใจใส่ของชานยอลต่างหากที่ทำให้อีกฝ่ายดูหล่อเหลาโดดเด่น
เขาตกหลุมรักอะไรบางอย่างในตัวอีกฝ่ายมานานแล้ว
/
วันวาเลนไทน์ปีนั้นแบคฮยอนได้รับดอกกุหลาบดอกแรกจากชานยอล
“แบคฮยอน” ชื่อของเขาถูกเปล่งด้วยน้ำเสียงที่เขาจำได้แม่นยำที่สุด ดอกกุหลาบสีแดงเข้ามาในระยะสายตา กั้นเขาและอีกฝ่ายเอาไว้ “...เพื่อนฝากมาให้น่ะ”
สายตาถูกเบนไปยังอีกคนที่ยืนหลบอยู่ บุคคลที่สาม ยิ้มโดยหันด้านข้างให้เห็น เพื่อนร่วมห้องของเขาคนหนึ่งนั่นเอง
“อ้อ...” แบคฮยอนรับดอกกุหลาบนั่นไว้ เขาสับสนและไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เลยแม้เพียงสักนิด เขาไม่เคยคุยกับเพื่อนคนนั้นเสียด้วยซ้ำ คำถามมากมายประดังเข้ามาในสมอง ทว่าท้ายที่สุดแบคฮยอนก็ล้มเลิกการหาคำตอบทั้งหมดนั่นเสีย เพราะตัวเขาเองก็มีใจให้กับคนที่ตนในตอนนั้นไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ
คนที่ยื่นดอกไม้ของเพื่อนให้เขาด้วยรอยยิ้ม
กุหลาบแดงดอกนั้นคงกำลังบอบช้ำและเหี่ยวเฉาอยู่ใดที่หนึ่ง แสงเหลืองนวลของดวงจันทร์ปลอบประโลมจิตใจของใครบางคน สายตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดจ้องมองเพดานห้อง แบคฮยอนไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังอกหัก เขาเพียงผิดหวังนิดหน่อยเท่านั้น ความรู้สึกพึงใจต่ออีกฝ่ายก่อตัวขึ้นเพียงน้อยนิดราวกับตะกอนใบชานอนก้น เขาไม่เคยคิดจะสานต่อหรือแม้แต่ทำความสนิทสนมในฐานะเพื่อน เพียงคุยกันตามประสาคนที่เรียนห้องงเดียวกันบ้างอย่างที่เป็นมาตลอดนี้ก็สร้างความอบอุ่นหัวใจให้เขามากมายแล้ว
ความรักนั่งมองเด็กน้อยที่กำลังผล็อยหลับผ่านบานหน้าต่างห้องนอนอย่างเอ็นดู
‘ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรักใครได้อีกแล้ว’
ความรู้สึกเดิม ๆ ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นจนเกือบล้น มันสร้างความวุ่นวายใจให้แบคฮยอนตอนเขาเริ่มขึ้นชั้นมัธยมหนึ่ง ผู้คนมากมายให้ความสนใจคนคนนั้น เขายังคงยึดมั่นว่าจะไม่มีทางเปิดเผยความในใจ บางครั้งความคิดถึงก็เข้าเล่นงานจนเขาเกือบจะสารภาพกับเพื่อนของตัวเองอยู่หลายครั้ง
‘ชอบชานยอลจัง’
เขาได้ยินเสียงนั้นในหัวตอนคุยกับเพื่อนอย่างออกรสและเผลอสบตาเข้ากับคนในความคิดและจิตใจโดยบังเอิญ แบคฮยอนไม่เคยยิ้มให้ตอนส่งคืนสมุดการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ในฐานะหัวหน้าชั้นหรือเอ่ยทักตอนเดินสวนกันที่หน้าประตูห้องน้ำ ไม่มีใครรู้ถึงระดับความสนิทสนมของคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยประถมของชานยอลว่ามีมากน้อยเพียงใด ไม่มีใครเอ่ยถึงหรือสงสัยแม้เพียงน้อยนิด
แม้แต่ตัวแบคฮยอนเองก็ไม่แน่ใจนัก เขากับชานยอลเรียนพิเศษด้วยกันทุกเย็นตั้งแต่ชั้นประถมสี่ ในที่แห่งนั้นเขาคือคนที่ชานยอลสนิทใจด้วยที่สุด ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรสหลังเลิกเรียน แบคฮยอนไม่คิดว่าอีกฝ่ายระแคะระคายเรื่องนั้นเขามั่นใจว่าตนเก็บซ่อนความรู้สึกได้ดีเยี่ยม กระนั้นเขายังคงระแวงระวังจนเกินเหตุไปเสียหน่อย —จนถึงขั้นที่ว่าไม่ยอมพูดคุยกับชานยอลให้คนที่โรงเรียนพบเห็นเลยสักครั้ง
/
“วันนี้ต้องออกไปซื้อของมาเพิ่มแล้วล่ะ” ชานยอลบอกเขาตอนที่อาหารเช้าพร่องไปครึ่งหนึ่ง นิ้วโป้งข้างขวาถูกส่งมาปาดคราบแยมที่คางออก นิ้วมือทั้งสี่ที่เหลือประคองช้อนอยู่ใต้คาง “...จะไปด้วยกันมั้ย”
“อื้อ” แบคฮยอนพยักหน้าตอบเพราะเขากำลังเคี้ยวขนมปังอยู่ เขาชอบที่ชานยอลใส่ใจทุกรายละเอียดเล็กน้อยและทำมันอย่างเป็นธรรมชาติ เขาหลงรักผู้ชายคนเดิมมาร่วมสิบปีโดยไม่รู้สึกเสียดายช่วงเวลาเหล่านั้นเลยสักวินาที แม้มันจะเคยทำให้เขาต้องร้องไห้มาก่อนก็ตาม
/
แบคฮยอนไม่เคยเรียกความรู้สึกนั้นว่าความรักเขาไม่คิดว่าเขาจะสามารถรักคนคนหนึ่งที่รู้จักกันเพียงผ่าน ๆ ได้ มันยิ่งใหญ่เกินไป งดงามเกินไป และเร็วเกินไปสำหรับเขา จนกระทั่งเขาได้รับความเจ็บปวดจากความรู้สึกนั้น เขาไม่ได้ร้องไห้ตอนที่รู้ว่าชานยอลมีแฟนคนแรก มีเพียงน้ำตาสองหยดที่ทิ้งคราบเปียกชื้นไว้บนหมอนเท่านั้น แล้วเขาก็ค้นพบว่าตัวเองมีความรักในวันถัดมา มันไม่ใช่ความด้านชาหรือความพยายามเมินเฉยต่อความรู้สึกตัวเอง แบคฮยอนพบว่าตัวเองยังคงยิ้มตามทุกครั้งที่เห็นชานยอลยิ้ม เผลอหัวเราะออกมาทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องของพวกเขา และยังคงนึกถึงชานยอลทุกครั้งเมื่อฟิกเกอร์ที่อีกฝ่ายอยากได้ แบคฮยอนตกหลุมรักเข้าให้แล้ว— อย่างไม่อาจถอนตัว ความรักก่อตัวเชื่องช้าทว่าสม่ำเสมอ ราวกับคลื่นทะเลลูกเล็กที่ถูกพัดเข้าหาฝั่งในทุกเช้าของวัน แบคฮยอนไม่คิดว่าเขาจำเป็นต้องละทิ้งความรู้สึกนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาจดจำย่างใส่ใจทุกรายละเอียดของความรู้สึกนั้นในแต่ละวัน กลุ่มก้อนความรักอัดแน่นในใจ เขาระบายออกด้วยการเขียนนิยายความสัมพันธ์บูดเบี้ยวไม่สมประกอบ รักข้างเดียวที่ไม่เป็นที่ต้องการให้ส่งถึงใจอีกฝ่าย หลายปีผ่านไปนิยายของเขาจึงถึงตอนจบ แบคฮยอนวางปากกาที่ถือมาตลอดลงบนโต๊ะ เขาปิดสมุดและเก็บซ่อนมันไว้ในส่วนลึกที่สุดของลิ้นชัก ตอนนี้เขาและชานยอลจบการศึกษาภาคพื้นฐานแล้ว
‘ชอบนะ’
แบคฮยอนมองข้อความที่กฎอยู่บนจอโทรศัพท์ของตัวเอง โอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว เข็มนาทีของนาฬิกาเลื่อนไปเลขสิบจากเลขแปด แบคฮยอนไม่ได้กดส่ง เขากดบล็อกรายชื่อนั้นแทน
เขาควรตัดใจจริง ๆ เสียที
/
แบคฮยอนมองแพ็คไส้กรอกในรถเข็นที่ถูกวางลงมาอย่างรู้ใจ ชานยอลหยิบฉวยสิ่งของและเดินไปตามแผนกต่าง ๆ ในซุปเปอร์อย่างคล่องแคล่ว แบคฮยอนเพียงนั่งรถมาเป็นเพื่อนคนตัวสูงเท่านั้น เขาไม่ถนัดงานครัวนัก
“เอาไอติมด้วยมั้ย”
“อื้อ”
“รสสตรอว์เบอร์รี่?”
แบคฮยอนพยักหน้ารัว ๆ แทนคำตอบ สายตาเขากวาดไปทั่วตู้แช่ไอศกรีมตรงหน้า—
น่ากินหมดนี่เลย
/
เวลาผ่านไปสามปีหลังจากนั้น แบคฮยอนดีใจเสมอเมื่อนึกถึงรักครั้งแรกของเขา ครั้นเมื่อถึงวันวาเลนไทน์ในทุก ๆ ปี ชานยอลคือคนแรกที่เขานึกถึง และอาจเพราะการกับไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุดของเขาทำให้เขาได้เจอกับเพื่อนเก่าคนนั้น แบคฮยอนตัดสินใจแน่วแน่ เขากดปลดบล็อกและส่งข้อความที่พิมพ์ไว้ไปหาอีกฝ่ายโดยเพิ่มเติมไปอีกหนึ่งประโยค —ในวันวาเลนไทน์ปีที่สามหลังพวกเขาจากกัน
‘ไม่ต้องตอบนะ แค่อยากบอกให้รู้’
และนั่นทำให้เขาต้องประหลาดใจเมื่อกลับมาบ้านเกิดในครั้งต่อมา
“มาได้ไงเนี่ย” ชานยอลปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้านในช่วงบ่ายแก่
“อยากคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ”
“ส่งข้อความมาก็ได้นี่” แบคฮยอนเกาะประตูรั้ว น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ไม่มีทางที่ใครก็ตามจะรับรู้ได้ว่าเขากำลังตื่นเต้นอยู่
“ก็คนมันโดนแบคฮยอนบล็อกเบอร์นี่”
“...” แบคฮยอนลืมไปเสียสนิท เขาทำแบบนั้นจริงหลังจากที่ส่งข้อความที่สองไป “โทษที”
“อื้ม ช่างมันเถอะ” ชานยอลเขี่ยใบไม้แห้งด้วยปลายเท้า
“แล้วเรื่องที่ว่าอยากคุยด้วยนี่..?”
“ก็นะ...”
ลมพัดแทรกกลางระหว่างทั้งสอง รั้วเหล็กบริเวณที่โดนแบคฮยอนจับชื้นไปด้วยเหงื่อจากฝ่ามือ ใบไม้บนพื้นบริเวณที่ชานยอลยืนอยู่แหวกออกจากตรงนั้นจนมองเห็นผืนดิน ไลล่า —แมวเพียงตัวเดียวของบ้านพยอน —เดินลอดผ่านช่องว่างของรั้วออกไปด้านนอก คลอเคลียข้อเท้าของผู้มาเยือน เป็นตอนนั้เองที่ความเงียบอันน่าอึดอัดถูกทำลายลง
“ว่ายังไงเล่า เริ่มหนาวแล้วนะ” แบคฮยอนเก่งนักเรื่องตัดบทอย่างใจร้าย
“ไม่มีอะไรหรอก...” ชานยอลมองเขาอย่างลังเล “แค่อยากมาบอกว่าชอบเหมือนกัน”
แบคฮยอนควรดีใจจนน้ำตาไหล แต่เขาทำเพียงพยักหน้ารับรู้และบอกอีกฝ่ายว่าเข้าใจแล้ว ทั้งสองลากันเพียงเท่านั้น แบคฮยอนตกหลุมรักชานยอลในความทรงจำของเขาทุกครั้งที่นึกถึง ทว่าเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว ชานยอลที่เขารู้จักในตอนนี้สูงขึ้นมากจนเขาต้องเงยหน้ามอง ความรู้สึกต่อชานยอลคนตรงหน้าเขาเมื่อบ่ายนั้นช่างแห้งกรอบราวกับใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้การดูแลอย่างต่อเนื่องค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงเศษซากทิ้งไว้ให้รับรู้ว่าเคยมีอยู่ แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาควรรู้สึกอย่างไรดี และเขารู้เพียงว่าตนเองยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับคน ๆ เดิม และเดาว่าชานยอลเองก็คงรู้เรื่องนั้นดีเช่นกัน
/
“ไม่คิดว่าจะมาจริง ๆ หรอกนะเนี่ย” ท้องฟ้าในวันนี้เต็มไปด้วยกลุ่มก้อนเมฆกระจัดกระจาย สีของมันออกเป็นสีเข้มทว่าแลดูสดใส แสงแดดจ้าที่สาดลงบนเรือนผมสีน้ำตาลขับให้เส้นผมดูนุ่มราวใยไหม
“ทำไมคิดงั้น” แบคฮยอนเงยหน้าจากถ้วยไอศกรีม มองคนที่นั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะ พวกเขานั่งอยู่ริมกระจก ชานยอลดูแปลกตาไปนิดหน่อยหลังจากไม่ได้เจอร่วมสองเดือน
“ก็เพราะเคยชวนไปตั้งสิบครั้งแล้วนี่นา ไม่เห็นแบคฮยอนจะว่างมาเจอกันซักที” อาจเป็นเพราะผมที่กลายเป็นสีดำสนิทและถูกดัดจนเป็นม้วนกลม ๆ ทั้งศีรษะกระมัง
“ก็ว่างแล้วนี่ไง” สตรอว์เบอร์รี่ลูกเล็กที่ประดับอยู่บนยอดของไอศกรีมถูกตักเข้าปากเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง แบคฮยอนไม่อยากรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าน้อยใจอย่างไรในตอนนี้ เขาไม่ว่างอย่างสัตย์จริงอย่างที่บอกอีกฝ่าย—
ไม่ว่าง...ติดธุระต้องนอนอยู่บ้าน
แบคฮยอนยอมรับกับตัวเองว่าบางครั้งเขาก็ไม่พร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับชานยอลเลยสักนิด เขากลัว...กลัวว่าหากในความจริงแล้วเขากับชานยอลไม่สามารถพัฒนาอะไร ๆ ได้อย่างที่ทั้งสองหวังไว้
กระทั่งเขาเหนื่อยหน่ายกับความค้างคาใจ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับชานยอลและความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ของตัวเอง แบคฮยอนลองให้โอกาสตนเองเพียงสักหนึ่งครั้งที่จะลองก้าวออกไปเผชิญกับความ-เสี่ยง ขั้นแรกนั้นคือเขายอมรับนัดของชานยอลครั้งนี้อย่างไม่ลังเล
ผู้คนทยอยออกจากโรงหนังแล้วแต่แบคฮยอนยังคงนั่งจมจ่อมอยู่อย่างนั้น มีคำถามมากมายผุดขึ้นในหัวหลังฉากสุดท้ายหายไปจากหน้าจอ ทว่าไม่ทันได้หาคำตอบแบคฮยอนก็ต้องออกมาจากโลกส่วนตัวของเขาเองเมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของใครคนหนึ่งทางด้านซ้าย ชานยอลผล็อยหลับไปตั้งแต่ค่อนเรื่อง ที่แบคฮยอนมีคำถามมากมายเกิดขึ้นแบบนี้ก็เพราะเขาแอบลอบมองชานยอลที่อยู่ในห้วงนิทราอยู่บ่อยครั้ง และพอชานยอลลืมตาขึ้นมาแล้วสบสายตากับเขาพอดีเช่นนี้นี่มันน่าอายเสียจริง
“จบแล้ว...งั้นเหรอ” ชานยอลนั่งตัวตรงและยืดแขนขึ้นสุดเพื่อไล่ความเมื่อยขบ
“อื้ม ออกกันเถอะ”
“เรื่องเป็นไงบ้าง”
“ก็นะ พอนายหลับไป พระเอกก็รู้ว่านางเอกหายตัวไป...”
“ชานยอล?” ทั้งสองเดินไปคุยไปจนเดินผ่านหน้าประตูไปไม่กี่ก้าวก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา “ชานยอลจริงๆ ด้วย”
แบคฮยอนเป็นคนแรกที่หันไปหาต้นเสียง ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดี—เพื่อนสมัยมัธยม แบคฮยอนโบกมือทักทาย เขาไม่ใช่คนเพื่อนเยอะเสียด้วย คนพวกนี้อาจไม่รู้จักเขาก็เป็นได้เนื่องจากพวกเธออยู่ต่างห้องกับทั้งสอง ทว่าคนอย่างชานยอลนั้นรู้ดีว่าจะวางตัวต่อใครอย่างไร เขาเป็นที่รักของเพื่อน ๆ และรุ่นน้อง ชานยอลพูดคุยกับพวกเธอได้อย่างราบลื่นจนแบคฮยอนถอยออกมาเดินอยู่ข้างหลัง เขาไม่มีความสามารถเข้าไปแทรกในบทสนทนานั้นได้เลยสักนิด
“แบคฮยอน เราไปร้องคาราโอเกะกันต่อมั้ย เพื่อน ๆ เราชวนน่ะ” ชานยอลหันมาถามเขา แบคฮยอนมองไปทางกลุ่มผู้หญิงที่เป็น‘เพื่อน’ของชานยอล เขาเข้ากับคนยากมาก ๆ และคงไม่ดีแน่หากเขาต้องนั่งอุดอู้อยู่มุมห้องอยู่ท่ามกลางความครื้นเครงของพวกเธอ
“ไม่เป็นไรอะ ชานยอลไปเถอะ”
“เอางั้นเหรอ” สีหน้าชานยอลหม่นลงนิดหน่อย เขาหันมาหาแบคฮยอนแบบเต็มตัว แบคฮยอนจะรู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้งในเดทแรกหรือเปล่านะ
“ไปเถอะ...” ราวกับอ่านความคิดของอีกคนออก แบคฮยอนยิ้มให้และแตะที่ข้อศอกชานยอล “...เรากลับเองได้ นาน ๆ จะมีโอกาสเจอเพื่อน ๆ ซักที เราไม่คิดมากหรอก”
พอได้ยินแบคฮยอนบอกเช่นนั้นชานยอลก็สบายใจ เขาหันไปตอบตกลงกับเพื่อน ๆ สาว ฝ่ายนั้นดีใจกันยกใหญ่ และระหว่างที่แบคฮยอนกำลังเดินแยกตัวออกมานั้นเองเขาก็ต้องสะดุดกึกอยู่ในความคิดเมื่อชื่อหนึ่งถูกเอ่ยขึ้น
“ฮัลโหลโซฮยอน เดี๋ยวซื้อของเสร็จแล้วไปเจอกันที่หน้าเกมเซ็นเตอร์เลยนะ ฉันพาคนคนนึงไปเซอร์ไพรส์แกด้วยล่ะ...”
โซฮยอน—
แฟนคนแรกของชานยอล
เขาหวังว่าตัวเองจะเพียงแค่หูฝาดไปเท่านั้น
เพราะตอนนี้เขาชักจะคิดมากเสียแล้ว
เช่นเดียวกับการจดจำความรู้สึกต่อแฟนครั้งแรกของตัวเองได้ ความรู้สึกต่อแฟนคนแรกของคนที่เป็นรักแรกก็เช่นกัน แบคฮยอนยังคงจำวันแรกที่เขาได้รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชานยอลกับผู้หญิงคนนั้นได้ดี เขาปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลและซึมเข้าปลอกหมอนในคืนนั้น เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่ไม่เคยทำอะไรให้คนที่ตนแอบชอบเลยซ้ำยังเมินใส่เกือบจะตลอดเวลาอย่างเขา ข้างในใจของเขามันกลวงโบ๋ไปเท่าใดใครจะสนใจกัน แน่นอนว่าต่อให้เป็นแบบนั้นความรู้สึกของแบคฮยอนก็ไม่เคยลดลงเลย เขาเพียงแต่รู้ตัวว่าควรถอยออกมาให้ห่างขาดชานยอลให้มากขึ้นก็เท่านั้น—แม้เขาจะไม่ได้ใกล้ชานยอลเลยสักนิด เขาไม่รู้ว่าทั้งสองจบกันด้วยดีหรือไม่อย่างไร และแบคฮยอนคิดว่าเขาไม่อยากรู้ หนังสือถูกกางอยู่หน้าเดิมเป็นครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่แบคฮยอนกลับมา
ให้ตายสิ ชานยอลมักทำให้เขาว้าวุ่นใจได้เสมอเลยเชียว
“เอาวะ!”
การพัฒนาความสัมพันธ์
แบคฮยอนตัดสินใจก้าวเข้าสู่ขั้นตอนแรกของคำนั้นตั้งแต่เขายอมตกลงนัดของชานยอล เขาหวังอยู่ลึกๆ ว่าหัวใจที่แห้งกรอบราวกับใบไม้ผลิฤดูใบไม้ร่วงนั้นจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และแล้วตอนนี้เขายอมก้าวเข้าสู่ขั้นตอนถัดไปแล้ว—ด้วยตัวของเขาเอง
‘ตอนนี้อยู่บ้านหรือเปล่า ตอนนี้เราอยู่หน้าบ้านอะ’
แบคฮยอนส่งข้อความไปเช่นนั้นและเขาอยู่ที่หน้าบ้านชานยอลจริงแม้จะดึกมากแล้วก็ตาม ไม่นานนักแบคฮยอนก็ได้ยินเสียงประตูเปิดพร้อมกับขานยอลในชุดนอน
“แบคฮยอน? มีอะไรเหรอ” ชานยอลเดินออกมาที่รั้ว และเปิดมันออก “...เข้ามาก่อนมั้ย”
“ไม่ล่ะ มีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหน่อย”
“ว่ามาเลย”
ไปร้องคาราโอเกะมาสนุกมั้ย?
ได้คุยกับโซฮยอนบ้างหรือป่าว?
ผู้หญิงคนนั้นมีแฟนแล้วหรือยัง?
เมื่อเย็นกลับมากี่โมง?
และอีกมากมายหลายคำถามที่เขาอยากถามอย่างหึงหวงแต่ด้วยสถานะตอนนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ แบคฮยอนรู้ตัวดี เขาจึงได้แต่เอ่ยออกไปเพียงสั้นๆ
“เป็นแฟนกันนะ”
“เอ๊ะ...!”
จากนั้นแบคฮยอนก็ทำในสิ่งที่ไม่ว่าเขาหรือใคร ๆ ก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล้าทำมัน แบคฮยอนเขย่งเท้าประทับริมฝีปากเย็นลงบนอวัยวะเดียวกันของชานยอลและค้างไว้อย่างนั้นกระทั่งเขาระลึกได้ว่าตนกำลังทำเรื่องที่น่าอายที่สุดในชีวิตอยู่
“ไม่ตกลงเหรอ” แบคฮยอนใจเสียเมื่อนึกได้ว่าขานยอลไม่ตอบสนองใด ๆ กับจุมพิตของเขาเลย ความคิดกระจัดกระจายไปหมด ชานยอลอาจจะกำลังเปลี่ยนใจกลับไปคบกับเธอคนนั้นเหรอ? หรือว่ายังไม่แน่ใจเรื่องของเรา? หรือ...
“ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ในที่สุดชานยอลก็เอ่ยออกมาพร้อมกับใบหูและใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจนแทบจำสีผิวเดิมไม่ได้“แค่ตกใจที่จู่ ๆ แบคฮยอนก็มาขอคบเองแบบนี้น่ะ แถมยัง...เอ่อ...จูบ...อีกต่างหาก”
วันนั้นเองที่แบคฮยอนพบว่าชานยอลเป็นคนขี้อายกว่าที่เขาคิดไว้เยอะเสียทีเดียว
/
“...เข็นไปที่รถเลยนะ เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วตามไปทีหลัง” ชานยอลถามตอนที่พวกเขาคิดเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แบคฮยอนพยักหน้าตอบรับก่อนจะเข็นรถเข็นของซุปเปอร์ไปที่ลานจอดรถ เขาจัดการวางอาหารและของใช้ต่าง ๆ ที่ซื้อมาไว้ที่เบาะด้านหลังก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งฝั่งข้างคนขับ ไม่นานนักชานยอลก็ตามมาที่รถโดยถือของบางอย่างด้วยโดยที่แบคฮยอนไม่ได้สนใจเนื่องจากเขากำลังเลือกสรรเพลย์ลิสต์ที่จะใช้เล่นในตอนนั่งรถกลับอยู่
“แบคฮยอน”
“ครับ” แบคฮยอนไม่ได้หันไปตามคำเรียกทว่ามีบางอย่างถูกยื่นมาด้านหน้าของเขา เมื่อปรับสายตาได้จึงพบว่ามันคือกุหลาบช่อใหญ่
“ชานยอล...”
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”
“...”
แบคฮยอนอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าวันนี้คือวันอะไรและเขาดีใจมากที่ได้มัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคอยบอกชานยอลเสมอว่าไม่ต้องซื้ออะไรให้ในวันเช่นนี้ ทว่าเมื่อเขาได้รับมันจริง ๆ แบคฮยอนกลับมีความสุขจนน้ำตารื้น กุหลาบทำให้เขานึกถึงวาเลนไทน์ปีแรกที่เขาได้รับดอกไม้จากใครบางคนที่ฝากชานยอลมา แต่วันนี้—และตลอดไป—ดอกกุหลาบใดก็ตามบนโลกใบนี้จะมาจากตัวชานยอลเอง คนที่เขารักมาตลอดและจะรักตลอดไป
“ขอบคุณนะ” น้ำเสียงเบาหวิวจนแบคฮยอนคิดว่าอีกฝ่ายอาจไม่ได้ยิน เขามอบคำขอบคุณและคำรักที่มีมากเกินจะบรรจุไว้ในตัวอักษรไม่กี่ตัวไม่ได้ด้วยการประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของชานยอล ถ่ายทอดคำหวานปากต่อปาก บอกรักกันและกันผ่านการกระทำ
—ตลอดคืน
จบ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in