เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Look a Breathe (Series 1 - 2)nimon
#217 บันทึกน้ำตา 1 ลิตร (1リットルの涙)


  • “น้ำตาที่ไหลรินจากทุกข์

    คู่กับสุขหาสิ่งใดหลุดพ้นไม่

    ไม่มีสิ่งใดจีรังตลอดไป

    เหลือเพียงไว้ความทรงจำเท่านั้น

    ชีวิตของอายะไม่ต่างกัน

    ชีวิตนั้นมีทุกข์ปนสมหวังครั้น

    ชีวิตเต็มด้วยทุกข์สุขพลัน

    เห็นด้วยตากันเป็นแรงบันดาลใจ”


         เรื่องราวนี้เป็นครั้งแรกที่อ่านหน้าปกแล้วอยากอ่านมาก เลยตัดสินใจเก็บเงินซื้อมาอ่านก่อนที่จะได้ดูซีรีย์ญี่ปุ่น เมื่อตอนที่เริ่มต้นอ่าน เรารู้สึกประทับใจมากๆว่า เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่อายุน้อยสามารถสู้กับโรคร้ายได้ถึงขนาดนี้ แต่หนังสือและซีรีย์มีความแตกต่าง และส่วนตัว เราชอบหนังสือมากกว่า เพราะอยู่กับความเป็นจริงที่สุด



          เรื่องนี้อ่านกี่รอบ ก็เรียกน้ำตาได้ตลอด เพราะรู้สึกซึ้งในคนรอบข้าง ไม่ว่าจะครอบครัว คุณหมอที่รักษา เพื่อนและคุณครู และประทับใจที่สุดในตัวของอายะที่สุดที่สามารถพึ่งพาตนในการมีกำลังใจที่จะต่อสู้ถึงที่สุดเพื่อให้ถึงทางฝัน และทำตามหวังให้ดีที่สุด



         น้องอายะ ตอนอายุ 15 ปี ได้ป่วยเป็นโรคร้าย เพราะว่า อยู่ดีๆ การเดินของเธอก็มีปัญหา และเธอล้มโดยไม่สามารถใช้มือค้ำได้ หลังเธอรู้แล้ว เธอก็หมดหวัง ผิดหวัง และสิ้นหวังทุกสิ่งทุกอย่าง เเต่พอเธอหันไปมองแม่ที่พยายามจะขอความช่วยเหลือหมอให้ช่วยเธอทุกอย่าง เธอก็มีความหวังอีกครั้งหนึ่งที่จะลองพึ่งพาตนเองต่อสู้กับโรคร้ายขึ้นมา 


         ชีวิตของเธอผ่านเรื่องผกผันมากมายไม่ว่า จะมีเพื่อนมาให้กำลังใจ หรือ ไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว ไม่ว่าเธอจะเเอบรักหมอที่ดูแล แต่เมื่อหมอรู้ และหมอรู้ว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หมอก็ปลีกตัว 



         ในช่วงชีวิตเธอ เธอเดินไม่ได้ และเธอต้องคลาน ซึ่งเเม่เธอก็คลานเป็นเพื่อน 


    (เหตุการณ์นี้เล่นน้ำตาไหลเป็นลิตรจริงๆ 

    เราซึ้งในคุณแม่ของน้องอายะมากที่สู้ไม่ถอยเพื่อลูก) 


         และไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอไม่พอใจว่า ทำไมครูต้องจดๆจ้องๆเธอและไม่พูดกับเธอตรงให้ไปโรงเรียนสงเคราะห์ ซึ่งเราเข้าใจในมุมมองของทั้งสองคนนะ



    มุมมองของครู: 

         กลัวว่าคำพูดไปทำร้ายจิตใจหรือเปล่า และที่จดๆจ้องๆก็อาจจะกลัวว่าเดี๋ยวตกลงไปจะได้ช่วยทันท่วงทีหรือเปล่า


    มุมมองของน้องอายะ: 

         ผิดหวังอยู่แล้ว ไม่อยากให้คนสมเพชเวทนาตัวเอง เลยอยากให้พูดความจริงมากกว่าที่อ้ำๆอึ้งกันแบบนี้


         เมื่อเราอ่านบันทึกไป เราจะพบว่า เป็นเรื่องราวที่เราต้องอยู่กับน้องคนนี้ตั้งแต่อายุ 15 ปีจนถึงเสียชีวิตในวัย 25 ปี 10 เดือน ซึ่งคือเราเห็นถึงด้านอารมณ์อ่อนไหวที่อยากมีชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป อยากมีอนาคตที่อยากเป็นหมอ แต่กลับไม่เห็นแม้กระทั่งแสงสว่างปลายอุโมงค์เลย 


         เด็กคนนี้ต้องใช้ใจสู้ขนาดไหน ต้องอดทนเท่าไหร่ ต้องพยายามมากแค่ไหน ในการต่อสู้กับโรคร้ายในครั้งนี้ แต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ดูเลวร้ายลง จนเสียชีวิตในที่สุด


    “ทุกวันนี้ หนูมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”



    เราอ่านประโยคนี้กี่ที เรารู้สึกถึงความเข้าใจทุกอย่างที่น้องเขาต้องเผชิญ ความรู้สึกหดหู่ หมดหวัง ผิดหวัง สิ้นหวัง ซึ่งทุกอย่างมันสามารถบรรยายได้ในประโยคเดียวนี้ แต่เราไม่เห็นเธออยากตาย เราเห็นเธอสู้เพื่อตัวเธอและครอบครัว ดังนั้น เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับชีวิตของคนหลายคนในโลกนี้ได้ เพราะว่า เธอคือนักสู้ที่แท้จริง


    “ชีวิตเกิดมา เมื่อยังมีลมหายใจ

    อยู่ก็ต้องดิ้นรนและต่อสู้”

    Look a Breathe

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in