เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Both Between Same Pathwallflowerblu
Between
  •  

    9

     

    ตีห้าห้าสิบสอง ตัวหนังสือเปื้อนลายมือมอมแมมของเธอถูกหยิบขึ้นมาสำรวจอีกครั้ง ยามเช้าก่อนแดดจะแยงผ่านผิวม่านหรือยันกายลุกจากฟูกนอน ระบบรับรู้ที่ยังครั่นคร้ามมูลกึ่งหลับกึ่งตื่นนี้คงชวนสบประมาทร่างกายซึมเซาที่ไม่อาจเลี่ยงสายตาออกจากกล่องบรรจุของต้องห้ามสำหรับตัวตนพ้น ขณะฝ่ามือหนักอึ้งถือสมุดบันทึกไม่ห่างตัว เรียวขาก็เตะกล่องใบโตเลื่อนชิดมุมห้อง แทนที่จะเรียงมันกลับเข้าชั้นหนังสือตามเดิม

    ภาพในวันวานยังติดตรึงคำถามเหล่านั้น ผ่านเสี้ยวการมีอยู่แสนวูบไหว เหมือนกับว่า หากสมองไร้ทรงจำทวนย้อน สิ้นยั้งอารมณ์ร่วมประสบการณ์ และไม่ฝังแน่นพอจะให้ถ้อยสนทนาแทรกซึม บริบทระหว่างเราก็คงไม่มีวันกระจ่างชัดเท่านี้มาก่อน หากภาพอดีตถูกหลงลืมเพราะด้านชา ทุกสิ่งรอบตัวแทบคล้ายจะจืดจางไปเสียหมด น่าอเนจอนาถที่ความหมายของทรงจำมันหยุดอยู่แค่ตรงนั้น เพียงแต่ตัวหนังสือของเธอไม่เป็นเหมือนกับมันสมอง

     

    ไม่เลยสักนิด

     

    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบันทึกนี้เริ่มต้นครั้งแรกวันที่เท่าไหร่

     

    ไม่สิ

     

    เล่มที่เท่าไหร่แล้ว ไม่รู้หรอก

     

    “นี่ พวกนักสร้างสรรค์น่ะ...” โชเกริ่น เขาลากลายนิ้วกลางอากาศเป็นอักษรบางคำที่มิโดริไม่ทันสังเกต “เพราะทนอยู่บนโลกนี้ไม่ไหว ก็เลยสร้างโลกอีกใบขึ้นมางั้นเหรอ” น้ำเสียงเรียบเฉยทำอย่างว่าตนไม่ได้แสร้งถาม หากแต่สายตาคาดเค้นกลับจ้องมองกลับมา

    มิโดริชะงักข้อนิ้วที่กำลังจรดปากแก้วกระเดือกชามะนาวลงคอ “จะไปรู้รึไง ฉันไม่ใช่นักดนตรีซะหน่อย”

    “ก็เธอเขียนเป็นนี่นา การเขียน ก็สร้างโลกของตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน เพราะทนอยู่ในโลกจริงไม่ได้ เลยต้องหาที่อยู่ใหม่ด้วยวิธีของตัวเองหรือเปล่า... ที่จริง ฉันเคยพูดอะไรทำนองนี้ในห้องซ้อมดนตรีน่ะ แต่ก็ถูกไล่ออกมาเพราะพวกนั้นรำคาญที่ฉันพล่ามมั่วซั่ว สงสัยจะกลัวว่าฉันจะตำหนิเวลาเล่นเพี้ยนละมั้ง แต่...เป็นแค่คนนอกนี่นะ...จะไปประเมินใครได้” เพราะเธอไม่ได้เอ่ยตอบใจความยาวเยื้อ เขาจึงสบโอกาสเลือกเข้าข้างตัวเองอีกหน

    “ก็เธอ... เขียนแบบไม่อยากให้ใครอ่าน ฉันเลยต้องทำความเข้าใจเรื่องนั้นอยู่ โลกแบบนั้น...มันสาหัสกว่าโลกที่ฉันอยู่อีกไม่ใช่เหรอ”

     

    หมอนอิงใบเล็กไม่ได้ถูกปา เครื่องดื่มรสหวานยังไม่ถูกดื่มล้างโคนลิ้นโสมม ไร้ซึ่งถ้อยแย้งของมิโดริควรแถลงออกมาเป็นรูปธรรม ไม่ทันไร เธอก็สูดกลืนจุดขื่นปนแขยงเล็ก ๆ เหนือปลายนิ้วลงไปจนอิ่ม

     

    อิ่มมากพอที่เธอคงไม่กลืนน้ำตาอีก

     

    โชกำลังโอบกอดเธอไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยกอดจริง ๆ เลยสักครั้ง

     

    “จะใช้ไปซื้อเบียร์อีกรึไง ไม่เห็นต้องปลอบกันเลยเรื่องแค่นี้”

    ดวงเรียวรีใต้เลนส์หนาสับส่ายตามวงเบี่ยงศีรษะ “โชกุปัง แบบไม่ใส่มาการีน”

     

    /

     

    แม้เช้าตรู่โชจะบอกกับเธอแบบนั้น แต่ ณ เวลานี้ หกนาฬิกาตรง เขาก็ยังไม่กลับมา มิโดริเตรียมสัมภาระทั้งหมดลงกระเป๋า จำแนกมันออกเป็นหมวดหมู่ทีละน้อย คือ สองกระเป๋าหลักที่แบ่งเป็นพาวเวอร์แบงค์พกพาและสเปรย์กันยุง ส่วนอีกใบคือขนมปังและเครื่องดื่มโซดารสเปรี้ยว มันไม่ได้มากมายอะไร แต่เพราะจำนวนที่อัดแน่นรวมกันสำหรับตุนไว้เผื่อแผ่กับเพื่อนของเธอและโชไว้ด้วย เพราะแบบนั้น กระเป๋าใบสะพายเป้ใบเล็กสองใบถึงได้ตุงเสียน่าอาย

    กระแสขดเฉดแสดอมแดงของมวลเหลวเย็นเยียบในมือเริ่มพร่อง ทว่า มันยังคงความเปรี้ยวอมหวานพอให้แสบปลายลิ้นได้ดี เพราะเพิ่งจรดปากเหยือกลงซ้ำสองข้างใต้เซรามิกใบใส มิโดริกุมไอเย็นรวบไว้ด้วยกันผ่านประสาทสัมผัสรสเฝื่อนที่ติดอยู่บนปลายลิ้นเช่นกัน แม้ไหลล่วงลำคอหลายอึก แต่มันกลับยังกร่อนลบความขื่นขมจากกระป๋องแอลกอฮอล์ไม่หมดเท่าที่ควร เวลาห้องโถงกว้างขวาง (มากพอสำหรับผู้หญิงคนเดียวอย่างเธอ) สลัวรางด้วยการดับดวงไฟเหนือหัว แสงไฟจากร้านริมทางและโคมลอยก็ยิ่งแผ่มวลพร่างพราวไสวทีละน้อย ๆ รอนแรมถึงดวงตา เท่าที่พอจะนึกออก นอกจากเสียงถอดรองเท้าของโช เธอคงไม่กล้ายอมรับว่าจะมีสิ่งปรารถนาใดเล็ดลอดเข้ามาในหัวได้อีก ขอแค่รูมเมทที่ขบถสถานะมาจากเจ้าหนี้กลับมาถึงห้อง วันวันหนึ่งก็สมยอมต่อการทิ้งขว้างตัวตนของตัวเองว่าไร้ค่าเสียที อาจเพราะมีคนรับรู้การมีอยู่ (เช่น โช) อย่างน้อย ทุกคนในเกียวโตก็ดูมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นกว่าผู้คนในบ้านเกิดที่ครอบครัวเราจากมา เธอนึก ในหมู่บ้านนั้น ประชากรค่อย ๆ ทยอยย้ายกันออกไปเติบโต ทีละหลัง สองหลัง นานเข้า ทั้งละแวกซอยก็มีเพียงคนชรากับเด็กเล็กอยู่ไม่กี่คน อนุมานจากเหตุผลคงตอบได้ว่าพวกเขาย้ายไปมีชีวิตที่ดีและทิ้งความทรงจำไว้ที่นี้ สำหรับเธอ ความทรงจำทั้งหมดมันอยู่ที่นั่นมาแต่ไหนแต่ไร และไม่มีวันหายไปจากตัวเอง ทุกเศษซากของการเติบโตระหว่างสัมพันธ์เพื่อนร่วมชายคามันไม่ได้สลักสำคัญอะไร เป็นแค่ชิ้นส่วนที่แอบมีใครบางคนกอบโกยมันเอาวันอย่างหวงแหนลำพัง พอพวกเขามีเม็ดเงินหนาขึ้น สถานะเข้าที่เข้าทางกว่าการเริ่มจากศูนย์ มันก็ถูกทิ้งร้างให้กลายเป็นเหมือนหมู่บ้านต้องสาป แรกเดิมที เธอคิดว่าครอบครัวของตัวเองที่เริ่มระหองระแหงคงเจอคำต้องสาปของผู้คนเรือนเคียงที่ย้ายออกไปก่อนหน้า แต่นึกอีกที มันช่างเห็นแก่ตัวเกินจะสมเหตุสมผลสิ้นดี เป็นเพราะบ้างขัดสน จึงต้องขวนขวายจะไปทิศทางใหม่ บ้างล้มป่วย จึงต้องประกาศขายเพื่อเก็บหอมมารักษาตัว บ้างจากลา ด้วยสถานการณ์ภาวะเงินร่อยหรอ หลายครอบครัวเริ่มกระจัดกระจายออกจากพื้นที่แออัด จากสีเขียวขจี ก็ค่อย ๆ ไล่ระดับเป็นสีน้ำตาล เฉดส้มอมแดงเหนือก้นแก้วทำให้เธอนึกถึงสีไม้เลื้อยของคุณเคียวโกะที่ปล่อยเช่าบ้านหลังตรงข้ามเพราะสูญเสียผู้เป็นแม่ไปก่อนจะพาลูกสาววัยสามขวบกับสามีใหม่ย้ายมายังเมืองหลวง ละแวกบ้านที่เคยชุ่มฉ่ำด้วยสีของพรรณไม้นานาชนิดกลับเริ่มซีดเซียว กรอบแห้งเป็นผุยเมื่อรถของครอบครัวเราขับล่วงออกมาเช่นกัน เธอทิ้งวัยเยาว์ของตัวเองเอาไว้ ปล่อยให้มันเลื้อยเถาอ้อมรั้วเหล็กขึ้นสนิมไปพร้อมกับความฝัน ราวกับความขมเฝื่อนและแสบชาของมะนาวรสเย็นเยือกในช่องฟรีซต้องการจะย้ำว่าเธอไม่มีวันหนีไปจากตัวเองพ้น

    มันราคาถูก ก็จริง แต่เราไม่มีเงินพอจะซื้อไว้ขนาดนั้นนะคะ ส่วนที่เหลือเก็บก็แทบจะหมดออมจากการลงทุนแล้ว แม่เปรย คราวนั้น มิโดริจึงรู้แก่ใจว่าการจะย้ายออกจากบ้านหลังเดิม มันไม่มีความฝันของใครร่วมอยู่กับเธอแต่แรกอยู่แล้ว การผลักดันให้เธอได้เกรดดี ๆ เองก็เป็นเพียงความด้านอายของครอบครัวเช่นกัน เป็นผัสสะที่เธอจะขอโอบรับมันเอาไว้ลำพังเพียงเพื่อจะให้การใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ของตัวเองไม่ต้องตกอยู่ในสายตาใคร เปลือกนอกที่ห่อหุ้มตัวเราเองก็เป็นเพียงกุศโลบายไม่ให้เล็บเฟื้อยยาวทำร้ายเนื้อตัวด้วยการฉีกทึ้งผิวแสบคันที่มักเกลือกกลิ้งไปตามสัญชาตญาณของลู่หกคะมำบนความฝันของพ่อและแม่ คำพูดของแม่กระเทือนความฝันของพ่อ เช่นกันกับความเป็นจริงของแม่ ที่เลือกจะละเลยฝันของเราสองพ่อลูกออกห่างวงโคจรตามเส้นทางเปลี่ยวดายของแม่ เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่มิโดริเข้าใจว่าความรักทั้งหมดไม่อาจทดแทนความสูญเสียในใจของแม่ได้มิดเสียที

    บางที การต้องไล่ตามฝันไม่มีวันจบสิ้น อาจเป็นผลมาจากการไม่ยอมรับในความหวังดีของแม่ก็ได้ เธอนึก

    ได้แต่รอคอยสายลมพัดวนดวงไฟลอยเฉียงขึ้นมายังฝั่งริมระเบียงของตนดั่งหวัง ระหว่างมองดอกไม้ไฟดวงเล็กในมือของเด็ก ๆ ชั้นล่างที่กำลังชูโวสุดวงแขน วิ่งผลัดโฉบเหนือหัวกันและกัน ก่อนลูกปะทุของหนึ่งในสามจะประกายชนวนเป็นรอยประ โลดสูงลิ่วยามหางลากเสียงฟิ้ว เสียงแว่วเสียดหูลู่ลมมาแต่ไกล ก้อนกลมราวกรวดกระดอนตะปบสุญกาศเหนือหลังคาแขนงยาว ซึ่งมีไว้สำหรับปกคลุมคนในอะพาร์ตเมนต์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หมายถึง อัดแน่นฝูงชนในเมืองใหญ่ให้เล็กลง ให้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกะทัดรัด เหมือนกรอบรูป เหมือนสันหนังสือ เหมือนโทรศัพท์ เหมือนกล้องถ่ายดิจิตอล ที่เราอยากจะเอาตัวและเสี้ยวจำเข้าไปบรรจุร่วม ต้อนวงกลมมหึมาให้กลายเป็นมุมสี่แฉกให้มากพอ เท่า ๆ กับพื้นที่รอบข้างของอุตสาหกรรมซึ่งขยายไปอีกกี่ตารางวาไม่รู้จบ ฉับพลัน วงแคบของเส้นริ้วยาวเฉิดแสงจรัสเป็นสัญลักษณ์ผลิบานแสนสวยสะท้อนตอบม่านนัยน์

    เธอเคยนึกสงสัยว่าแปลงนาของหมู่บ้านจะเติบโตออกมาเป็นอะไรในอีกสิบปีข้างหน้า

    และคำตอบนั้นก็งอกเงยอีกสองปีให้หลัง

    สนามกอล์ฟและผู้คน

    เพราะแบบนี้ มิโดริถึงได้ชอบเทศกาลดอกไม้ไฟ แม้จะเกลียดสึยุก็ตาม

     

     


     

     

    สายเรียกเข้าของแม่ปลุกให้ผมกระโจนร่างสาวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากรั้วมหาวิทยาลัยโดยเร็ว จักรยานคู่ใจจอดรับแดดบ่ายใต้ตึกคณะ ถูกกระตุกเข้าหาตัวอย่างไร้ปราณี ผมนึกโมโหตัวเองที่คล้องโซ่เมื่อเช้าในเวลาเร่งรีบเสียแน่น โครงเหล็กเชื่อมล้อถีบและลูกโซ่จึงเปื้อนริ้วถลอกเพราะแรงขูดเกินจำเป็น ยิ่งอาการประหม่าทับถมอารมณ์ชอกช้ำเกินพอดีในเวลาที่ไม่ต้องการให้มันเกี่ยวพันก็ยิ่งไม่เป็นดั่งใจ พอ ๆ กับการภาวนาให้เธอปลอดภัย ขณะก่นทอตัวเองซึ่งเป็นฝ่ายปล่อยให้ใครบางคนรอเก้อ

     

    เวลาที่ผมควรจะอยู่ข้างเธอมากที่สุด

     

    เวลาของสึยุที่ผมมักทิ้งเธอไว้กับตัวตนจอมปลอมแฝงกับผู้คนภายนอกมากมาย

     

    เวลาที่เราไม่ควรปล่อยใครไว้ข้างหลัง

     

    เวลา...

     

    เวลาที่มันควรจะเป็นแค่เวลา

     

    อย่างน้อย ๆ

     

    ...มันไม่ควรแปลงสภาพเป็นความทรงจำด้วยซ้ำ

     

    วงใสรื้นปริ่มเต็มดวงบีบเค้นให้ผมต้องปล่อยมันไหลตามโอกาส

     

    ผมคงไม่ให้อภัยตัวเองไปชั่วชีวิต

     

    เพราะแบบนี้ มิโดริถึงได้ชอบเทศกาลดอกไม้ไฟ แม้จะเกลียดสึยุก็ตาม

     

    ผมปิดบันทึก วางสมุดปกอ่อนสีน้ำตาลหมิ่นเหม่บนหน้าตัก สัญญาณกะพริบวงเล็กกะทัดรัดปรากฏตอบ คลื่นถี่กระเพื่อมของหน้าจอวัดชีพจรพลันเฉียดโสตพร้อม ๆ กับก้าวขยับอ้อยอิ่งสลับโลดเต้น ดูคล้ายเด็กฝึกเดินระหว่างล้มลุกคลุกคลาน ไล่ระดับพอ ๆ กับระแนงซี่โครงยุบตัวสูงต่ำ มิซึกิวางมือบนลาดไหล่สั่นเครือร่ำทำนองสูดจมูกบางเบา ราวกับต้องการจะบอกและไม่บอกเช่นกันว่าขอตัวออกไปด้านนอก แต่เมื่อผมหันกลับไปเหลือบเห็นใบหน้าหนึ่งมองลอดกรอบประตูบานใสทรงผืนผ้าเข้ามายังเราทั้งสาม ผมจึงวางมืออีกข้างกดทับลงกับข้อต่อปลายนิ้วของมิซึกิ เพื่อบอกแก่เขาว่าถึงเวลาเข้าเยี่ยมสำหรับครอบครัวเธอด้วยเหมือนกัน

     

    ผมผลักหยาดใสปื้นยาวซึมสู่ผิวเนื้อ ก่อนวางกลีบคาเนชันแดงสดจากยูเมะไว้ข้าง ๆ นิ้วของเธอ แทนการสอดก้านเรียวไหลติดแจกันใบเล็กที่เจ้าตัวฝากมาด้วย ด้วยการเก็บมันไว้ในกระเป๋าเป้ใบโตของตัวเอง “ไปหาอะไรกินกัน”

     

    ขึ้นชื่อว่าของสำคัญ ก็ควรจะอยู่ใกล้ชิดเธอให้มากที่สุด

     

    เพราะแบบนี้ ฉันถึงได้ชอบเทศกาลดอกไม้ไฟ แม้จะเกลียดสึยุก็ตาม

     

    เพราะแบบนี้ เธอถึงได้ชอบเทศกาลดอกไม้ไฟ แม้จะเกลียดสึยุก็ตาม

     

    เพราะแบบนี้ มิโดริถึงได้ชอบเทศกาลดอกไม้ไฟ แม้จะเกลียดสึยุก็ตาม

     

    ผมมั่นใจว่าตัวเองปิดบันทึกเล่มนั้นไปแล้ว แต่เอาเข้าจริง กลับไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงไม่อนุญาตให้ผมเลิกอ่านตัวหนังสือเหล่านั้นสักที

     

    ทำไงได้

     

    “เธอเกิดมาเพื่อเขียน...” มิซึกิบอกผมแบบนั้น แบบนั้นจริง ๆ

     

     

    เป็นความผิดของผมเองที่หยิบเอาเศษฝันของเธอมาสำรอกแทนลมหายใจได้เป็นวรรคเป็นเวรถึงเพียงนี้

     

     

    Are you sure you want to delete Both Between Same Path-Doc.doc?

    |Delete|      |Cancel|

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in