3
รองเท้าผ้าใบของโชถูกถอดวางระเกะระกะ หน้าประตูทางเข้า มิโดริเหลือบมองชั้นวางรองเท้าที่ถูกกล่องรองเท้าอีกกล่องวางกินพื้นที่ แทนส่วนที่เหลืออยู่เป็นคำตอบ ปรกติเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบวางของไว้บนพื้นเท่าไหร่ ไม่เว้นแม้กระทั่งรองเท้า เขาเป็นคนสะอาดเหมือนที่เคยคิดหนแรกก็ดีอยู่หรอก แต่เปล่าเลย โชเป็นคนเลือกปฏิบัติต่างหาก
“แช่ตู้เย็นนะ” มิโดริชูถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้ออวดต่างหน้า โชเพียงแค่เหลียวมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาสะบัดเสื้อสเวตเตอร์ตัวนอกออก ก่อนจะโยนมันลงตะกร้าเตรียมซักในวันแดดจ้า แน่นอนว่าหน้าที่นั้นไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบคนเดียว เพราะยังไงคนที่มีเวลาว่างน้อยกว่ามักได้เปรียบอยู่ดี
“คู่ใหม่เหรอ” มิโดริว่า พลางจัดเรียงเครื่องดื่มไว้ใต้ช่องฟรีซตามที่โชชอบทำเป็นประจำ
โชตอบกลับด้วยเสียงครางอืมในลำคอ มิโดริสังเกตสักพักว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีอย่างไหนประกอบถ้อยคำแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากถุงเมล่อนปังที่กำลังถูกแกะ ต่อด้วยเสียงโทรทัศน์ช่องสารคดีสัตว์เริ่มดังขึ้น กลบเสียงคีย์ต่ำของอุณหภูมิแอร์ท่ามกลางอากาศอบอ้าวด้านนอกปนละอองชื้นเหนอะของฝนหน้าร้อน เขาเอื้อมมือเสียบสายชาร์จแบตทิ้งไว้ตามความเคยชิน ก่อนเธอจะเข้าไปนั่งข้าง ๆ
“ชีวิตฉันอยู่ในช่วงที่สามารถต่อกรได้ไหมนะ โช”
“หมายถึง ตอนนี้กำลังเป็นเหยื่ออยู่น่ะเหรอ” โชชี้นิ้ววาดตรงไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ถ่ายทอดชีวิตของนกเชียร์วอเตอร์ ก่อนภาพจะตัดไปตอนที่ผู้บรรยายเล่าถึงกวางเพศเมียที่ย่างกรายเข้ามาในถิ่นนกเชียร์วอเตอร์ หลังจากนั้นไม่นานลูกนกก็ถูกกวางใช้กีบเท้าทำร้ายปีกจนหักและกัดกินจนตาย ทั้งที่ไม่ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะเท่าที่รู้กวางเป็นสัตว์กินพืชและรักสงบ ก่อนจะถูกเฉลยว่าพื้นที่ที่พวกกวางอยู่ขาดแร่ธาตุ และสิ่งที่จำเป็นต่อพวกมันกลับกลายเป็นนกเชียร์วอเตอร์ เมื่อผู้บรรยายบอกเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดจบก็ทำเอาโชขมวดคิ้วพร้อมบ่นพึมพำด้วยอารมณ์เหลือเชื่อ เธอยิ้มขำเพราะเวลาที่โชตั้งใจทำอะไรบางอย่างกับท่าทางจริงจังเขาดูเหมือนเด็กในสายตาของมิโดริ
“เทียบได้สวย” เธอว่า
“ถ้ารู้สึกเป็นเหยื่อก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากถอย” เขาเหลือบมอง เราสบตากันพักหนึ่ง กลิ่นขนมปังรสเมล่อนลอยแทรกผ่านมวลอากาศท่ามกลางความเงียบระหว่างเราทั้งสอง “ขึ้นอยู่กับว่าสู้กับอะไร สำคัญกว่า”
เขาว่าพลางไล่ดูดนิ้วที่ติดกลิ่นจาง ๆ ของขนมปังอย่างลืมตัว ก่อนหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะมาทำความสะอาดแทน เมื่อเห็นว่ามิโดริสนอกสนใจกับท่าทีของเขามากกว่าครั้งไหน ๆ
“ลาออกแล้วล่ะ” เธอว่า
เขาดีดนิ้วดังเปาะ พร้อมครางเสียงอื้ออึงในลำคอเป็นคำตอบ ราวคาดเดาไว้ก่อนแล้ว
“เพราะงั้นฉันเลยเลือกเรียนเพราะขี้เกียจหางานทำนั่นแหละ” เขาตอบเหมือนมุขตลก แต่เปล่า โชกำลังจริงจัง
กลิ่นชาลอยคลุ้งมาจากห้องครัว เป็นจังหวะเดียวกับเสียงไมโครเวฟที่อุ่นเกี๊ยวกุ้งสำเร็จรูปของโชเรียบร้อย เขาตัวผอมเพราะชอบกินอาหารจากร้านสะดวกซื้อหรือเปล่านะ มิโดริแอบคิดในใจตามลำพัง เพราะไม่อยากให้โชคิดมากเรื่องความผอมที่ลดฮวบจนน่าใจหายของเขา เธอเข้าใจดีว่าเรื่องธรรมดาเหล่านั้นคือบาดแผลมาทุกยุคทุกสมัยสำหรับโช เว้นแต่ว่าเขาไม่เคยเดือดร้อนเรื่องอาหารให้ได้เห็นเลยสักครั้ง ใช้ชีวิตเพื่อกินขนมปังรสเมล่อนและชาสำเร็จรูปไปวัน ๆ แค่สองเรื่องสำหรับโชก็นับว่าเป็นเอกลักษณ์ทางด้านการกินของเจ้าตัวมากโข และคงเกิดปัญหามากมายในวันนั้น ถ้าหากตุนของที่ชอบกินไม่ทันหรือมีคนแอบกินอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยความเป็นลูกคนเดียวที่ต่างจากมิโดริในการเป็นลูกคนกลางอย่างเธอเลยต้องใช้เวลาค่อย ๆ ปรับ ความเข้าใจไปเองว่าเพื่อนรูมเมทตัวเล็กกว่าดูจริงใจในเรื่องธรรมดาได้ดีกว่าใคร
“สถานะต่างกันชัด ๆ” เธอแย้ง ตามด้วยประโยคธรรมดา ๆ ของโช
ทว่า กลับซ่อนความจริงใจไว้ไม่มิด “น้ำอุ่นแล้วไปแช่ก่อนเหอะ เหม็นจนฉันกินไม่ลงแล้วเนี่ย”
/
ไม่รู้เป็นเพราะมวลอากาศเย็นตัวลง หรือเงาของพระจันทร์ทอประกายวงเล็กจาง ๆ บนผืนฟ้ากันแน่ที่ทำให้ใครคนหนึ่งนึกครึ้มใจอยากคุยเรื่องชีวิตจริง ๆ จัง ๆ ก่อนความมืดมิดจะบดบังพื้นโลก นอกจากผู้คนจะบางตาลงเพราะต้องตื่นมาทำงานรับใช้โลกทุนนิยมต่อไป ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยออกมาสังสรรค์กับชีวิตที่ต้องรับใช้ทุนนิยมอยู่ต่อ ทั้งเหนื่อยล้า ท้อถอย ยินดีในชีวิต และโอบกอดมันเอาไว้ ทับทมราวเป็นซากปรักหักพังของโลก และก่อเกิดชิ้นประติมากรรมในรูปแบบนามธรรม
“โช ความตายมันเหงาไหมนะ”
“คงงั้น แต่คงเหงาแค่คนคิดถึง” โชย่นจมูกเล็กน้อย เขาส่งเสียงสูดน้ำมูกดังฟึดฟัดเบา ๆ เพราะอากาศภายในห้องเริ่มเย็นลงจากสายฝนชโลมเมืองยามบ่ายจวนดึกดื่นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดปรอยเสียที
โชเลือกเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ แล้วเอาพรมผืนหนาไปวางเรียงกันบริเวณละอองฝนกระเซ็นเข้ามา เพราะเขารู้ว่าถ้าตัวเองไม่ทำ มิโดริก็คงจะทำแบบนี้อยู่ดี เพราะเธอชอบฟังเสียงสายฝนในบ้าน แต่กลับบอกเขาว่าเกลียดสึยุที่สุดทั้งที่ญี่ปุ่นไม่นับเป็นฤดู ทว่ากลับต้องมีชื่อเรียกเฉพาะเพราะตกบ่อยเป็นพิเศษในฤดูร้อน ลำเอียงเนอะ เธอว่า เพ้อเจ้อ โชตอบ
คงเพราะใกล้เทศกาลดอกไม้ไฟ นอกเมืองเลยดูอบอวลไปด้วยบรรยากาศของโคมไฟสีนวลจากพื้นที่ห่างไกล ระหว่างนั้นก็มีอีกเรื่อย ๆ ราวผุดขึ้นตามพื้นที่โล่งกว้างทุก ๆ ห้าร้อยเมตร แต่คงมีแค่มิโดริคนเดียวที่ตื่นเต้นกับการเดินชมดอกไม้ไฟ เพราะโชเคยบอกว่าดูจากชั้นดาดฟ้าอะพาร์ตเมนต์ก็เห็น แถมยังมีคุณลุงข้างห้องไปนั่งปูเสื่อเป็นเพื่อน พกแค่เสื้อกันฝนกับไฟฉายและสเปรย์กันยุงไปก็พอ ไม่จำเป็นต้องแบกไปทั้งกระเป๋าให้ยุ่งยาก แต่มิโดริกลับท้วงว่าเขาแก่ชะมัด ไม่มีอารมณ์กระเตื้องจิตใจให้สมกับวัยรุ่นเลยสักนิด น่าเสียดายออก ‘ออกไปเบียดคนบนรถไฟน่าเสียดายเวลากว่าอีก แถมยังกลับไม่ทันตุนเมล่อนปัง’
ถ้าโลกนี้มันมีกฎหมายให้คนแต่งงานกับของสะสมได้ โชคงได้ลงเอยกับเมล่อนปังไปชั่วชีวิต แล้วคลอดลูกออกมาเป็นไส้ครีม เธอว่า ก่อนจะถูกหมอนอิงใบเล็กปาเข้าหน้าจนผมเสียทรงไปชั่วขณะ พร้อมคำติดปากของเขา ‘เพ้อเจ้อ’
โชใช้ชีวิตเรียบตรง แถมยังไม่รู้จัก sense of humor ไม่รู้ว่าโตมาได้ยังไงขนาดนี้และไม่มีใครเตือนเขาได้สักคน หรือเพราะเป็นคนหน้านิ่ง แถมยังชอบใช้ความรุนแรง (บางครั้ง) แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นร้ายแรง ถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้กันนะ เขาไม่เคยเข้าใจมุขตลกสากลเลยรึไง เธอคิดมาตลอด แต่ถึงพูดออกไปโชก็คงไม่ตอบ ตายด้านชะมัด แต่เพราะเป็นคนเฉยเมย (ในบางเรื่อง) ถึงได้อยู่ด้วยมาจนถึงทุกวันนี้
มิโดริเหลือบมองหมอนอิงปลอกลายดอกไม้ในมือ หลังหวนนึกถึงเรื่องราววันเก่า ๆ คงเพราะห้องนี้เปรียบเสมือนกล่องพื้นที่ความทรงจำระหว่างเราทั้งสอง เวลาหยิบจับอะไรก็พาลให้คิดถึงโชคนเก่าอยู่เรื่อย แต่โชในตอนนี้ ก็ไม่ได้ต่างไปมากนักหรอก แค่กระวนกระวายใจขึ้นกว่าเดิมเพราะเริ่มฝึกงานและเรียนรู้การทำงานในโลกของผู้ใหญ่ว่ามันห่วยแตกยังไง
สำหรับมิโดริ เธอกลับรู้สึกชินชาเสียแล้ว เพราะนอกจากห้องสี่เหลี่ยมระหว่างเราก็ไม่มีพื้นที่ไหนชวนสบายใจได้อีก ทุกที่พร้อมเผาลุกเป็นเปลวของเชื้อเพลิงและกลายเป็นนรกในท้ายที่สุด นับรวมการจราจรเช้าวันจันทร์และหลังเลิกงานเย็นวันศุกร์ไปด้วย ไม่ยักรู้ใครคิดคำว่านรกขึ้นมา แต่แค่รู้สึกว่ามันเป็นคำบอกกล่าวลอย ๆ ที่ดูคับแค้นใจได้เข้าท่าดี
“ความตายต่างก็โดดเดี่ยวและสวยงาม เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เทียบเคียงความสวยงามของชีวิต เหมือนนิทรรศการของแต่ละคนมั้ง” โชหันมองมิโดริที่กำลังทำหน้าเหวอเพราะปรับตัวไม่ถูก ราวตกตะลึงในถ้อยคำ หรือไม่ก็กำลังคิดว่าจะแซวยังไงให้เขาด่ากลับซะตรงนั้น
“จำมา ปรัชญาสักเล่ม” โชรีบตัดบท ก่อนพูดเสริม “เธอก็ควรจะอ่านนะ ถ้าสนใจ”
“แล้วนิทรรศการของโชจะเป็นยังไง” เธอยียวนเขาจนได้เรื่อง
“ไม่เห็นต้องคิด คนรู้จักฉันเท่านั้นแหละที่จะเข้าใจงานของฉัน”
“ฉันอยากให้หมึกสีดำเขียนตัวบรรจงลงไปว่า มิโดริ ได้ลาจากผู้คนและงานเขียนที่เธอรักไปแล้ว ท้ายเล่มอ่ะ ต้องดีมากแหง”
“ก็ตั้งใจเขียนสิ”
“ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ นายไม่เคยเรียนศิลปะรึไง อารมณ์ต่างหากสำคัญกว่า” อยู่ ๆ เธอก็ฉุนเฉียวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ปีนี้ไปดูดอกไม้ไฟกับใคร” โชเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างหน้าตาเฉย
“ยูเมะ” มิโดริตอบแทบจะไม่ทันคิด รู้ตัวอีกทีในใจมันก็เต้นโครมครามเหมือนตื่นเต้นตอนดูหนังสยองขวัญก็ไม่เชิง “ถ้าเป็นไปได้น่ะนะ” เธอรีบเอ่ยเสริม
“ไอ้บ้าฮิคารุล่ะ” โชว่า เขาถนัดเลือกใช้คำได้ดีทีเดียว แถมยังจงใจเน้นคำแรกซะขนาดนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าทั้งคู่มักไม่ถูกชะตากันอยู่เนือง ๆ อาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ หลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น
เธอเคยถามเขาว่าฮิคารุไม่ดีตรงไหน โชกลับเงียบ แต่พอถูกเซ้าซี้เข้า เขาก็เหลืออดเลือกตอบออกมาว่า ‘ไม่ชอบคนเจาะหูข้างเดียว’
โคตรจะเป็นโช
“นึกว่าจะถามว่ายูเมะเป็นใครซะอีก” มิโดริเลือกนั่งบนโซฟา แทนที่จะเป็นพื้นไม้เย็น ๆ ที่ถูกหยาดน้ำฝนกระเซ็นเข้ามาตามผ้าม่านสีครีมซึ่งยังคงปลิวตามแรงลมจวนจะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ ก่อนจะหยิบหมอนอิงมารองแขนทั้งสองข้าง
“ก็ต้องเป็นแฟนใหม่เธออยู่แล้วนี่ เคยสถานะว่างที่ไหน” โชตอบหน้าตาเฉย คงไม่ทันได้จับสังเกตุว่ารูมเมทกำลังร้อนวูบวาบจนริ้วสีแดงเปื้อนใบหน้าตื่นตระหนก อุณหภูมิร่างกายเริ่มสวนทางกับอากาศชื้นแฉะภายในห้องพัก เธอเบิกตากว้างก่อนรีบตอบปัด
“ใช่ที่ไหนกัน เพื่อนต่างหาก! นั่นมันชื่อผู้หญิงนะ”
เขาทำทีเฉยเมย แต่ดูเหมือนโชจะเริ่มจะทนความหนาวไม่ไหว จึงเดินเข้าไปเลื่อนหน้าต่างตรงหน้าลงเหลือเพียงคืบเดียว แล้วค่อยหันมาตอบ “ใครสน”
มิโดริถอนหายใจเสียงค่อย พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ตรงจังหวะเดียวกันกับโชที่เดินกลับมานั่งที่เดิมพอดี “เลิกกันแล้ว ฮิคารุน่ะ พอใจรึยัง”
“เฉย ๆ แต่ก็ดีกว่าต้องมาทนเห็นขี้หน้า”
“แล้วไอ้คนไหนที่เคยบอกว่าไม่ชอบหน้าเพราะเจาะหูข้างเดียว โคตรจะเมคเซนส์เลยเหรอนั่นนะ”
“คนโลเล ไม่มีทางจริงใจได้หรอก”
“รู้ได้ไง”
“ไม่รู้หรอก แต่หมอนั่นท่าทางไม่น่าไว้ใจ”
“แล้วคราวนี้จะเชื่อใจใครได้บ้างถ้าไม่มีคนเจาะหูเลย” มิโดริตั้งใจกวนประสาทโชเล่น เตรียมง้างตัวรับมือกับหมอนอิงใบเล็กข้าง ๆ นั่นแล้วด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แววที่ปลอกลายดอกไม้จะถูกคนตรงหน้าโยนสวนมาตามคาด
“พูดจริงนะ” โชวาดคิ้วเป็นเส้นตรงประกอบเรือนผมสีเข้มที่ไม่เคยถูกสารเคมีอื่นเจือปน นอกไปจากเจลทาผมที่เขาต้องจำใจทา เมื่อต้องเข้าร่วมสัมมนาจากทางมหาลัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เซนส์ของฉันมันบอก ตระกูลฉันเคยเป็นคนทรง เธอลืมไปแล้วรึไง เรื่องที่ฉันไม่ชอบหน้ามันขนาดนี้ก็เพราะชาติที่แล้วหมอนั่นมันเปิดร้านอบขนม แต่ดันขายเมล่อนปังบูดให้ฉัน”
“หะ” เขาเลือกปฏิบัติ เพราะเห็นว่าฉันโง่เกินจะเออออไปกับคำบอกเล่าประเภทไร้รูปธรรมมายืนยันแบบนั้นเนี่ยนะ ค่ำนั้น, หมอนอิงบนตักของเธอปาเข้าประตูสี่ตาของเจ้าหนี้ขี้ปดเต็ม ๆ
sense of humor ช่องค้นหาในโทรศัพท์ของโชต้องมีคำนี้แน่ ๆ
คำที่ถามไปเมื่อวันก่อน
ไม่น่าไปสอนแท้ ๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in