เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
QUITE SHORT STORIESgiftmeme
2000
  • เพราะเผลอกระแทกถุงพลาสติกตอนวางมันลงบนม้านั่งแรงไปหน่อย พอได้ยินเสียงแก้วกระทบกันดังเกินคาดไว้ ภูตจิ้งจอกจึงรีบหยิบขวดเครื่องดื่มสีเขียวมรกตขึ้นมาตรวจดูอย่างว่องไว เมื่อพบว่าของเหลวข้างในไม่ได้รั่วซึมออกมาผ่านรอยร้าวใด ๆ เขาก็ถอนใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะยืดเหยียดแข้งขาที่ใช้เดินเหินในร่างมนุษย์ออกไปตรง ๆ พลางขยับนิ้วที่อุดอู้อยู่ในรองเท้าผ้าใบอย่างไม่คุ้นชิน ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำใจสวมใส่ตัวตนของสิ่งมีชีวิตที่ใช้สองมือสองเท้านี่ได้ยากทุกที


    ภูตจิ้งจอกสัมผัสการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิได้ด้วยปลายจมูก เขายกมือขึ้นถูมันสามสี่ครั้งเพื่อบรรเทาอาการคันยุบยิบ จากนั้นค่อยหยิบขวดแก้วขึ้นมาอีกหน พยายามใช้เรี่ยวแรงน้อยนิดบิดเปิดฝาหลังจากเขย่าเสร็จ ข้างหลังที่ที่เขานั่งอยู่ หนุ่มสาวอีกหลายคนก็กำลังทำแบบเดียวกันบนสนามหญ้า ในมือมีขวดเครื่องดื่มสารพัดอย่างไว้แกล้มอาหารที่วางกระจายบนผ้าปูปิกนิก เสียงพูดคุยกันอย่างออกรสเคล้าเสียงหัวเราะร่าดังประสานกันเป็นพัก ๆ เหมือนสายลมพัดวูบผ่านแก้ม ฟังแล้วคล้ายจะสะท้อนประกายระยิบระยับที่ระริกไหวบนผิวน้ำ ราตรีนี้ยังเยาว์ พวกเขาเหล่านั้นเองก็ยังเยาว์นัก ภูตจิ้งจอกเปล่งเสียงฮึบครั้งสุดท้ายจนได้ยินเสียงแกร๊กจากใต้ฝ่ามือ ต้องใช้เวลาสักพักทีเดียวกว่าอวัยวะชิ้นนี้จะไม่แปลกแยกจากร่างกายและทำงานได้ตามประสงค์


    อึกแรก รสขมปร่าแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น พอกระดกไปสักพักก็รับรู้กระแสร้อนผ่าวที่ไหลผ่านลำคอชัดเจนขึ้นทีละนิดจนชวนให้คิดว่ารสชาติของการตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันที่อากาศดีเป็นเช่นนี้เอง แม้เหล้าที่เพิ่งหยิบมาจากร้านสะดวกซื้อจะห่างชั้นกับสุราร้อนแรงที่เคยดวด ณ ตรงนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่นานวันเข้าความทรงจำที่เคยประทับบนกายเนื้อก็เลือนรางเสียจนกลายเป็นประสบการณ์ใหม่ได้เหมือนกัน ก็ในเมื่อตอนนั้นพื้นคอนกรีตที่เขาเหยียบอยู่นี้เป็นเพียงดินชื้นแฉะริมตลิ่ง สนามและทางเดินเรียบที่โอบล้อมอยู่ก็มีแต่พงหญ้าสูงท่วมหัว เขาเคยนั่งตกปลากับผู้คนไม่ซ้ำหน้า มองดูมนุษย์และทิวทัศน์เคลื่อนไปในกระแสธารแห่งกาลเวลา ราวกับพลิกรูปวาดบนขอบกระดาษอย่างรวดเร็วจนเป็นภาพติดตา —  จู่ ๆ จักรยานคันแรกก็แล่นฉิวผ่านหน้า หลอดไฟดวงแรกส่องสว่างก่อนจะทำให้ทั้งเมืองเรืองรอง สะพานแห่งแรกถูกสร้างขึ้น บ้านเรือนเล็กจิ๋วกลายเป็นตึกสูง แม้แต่พระจันทร์บนฟ้าก็เคยถูกชาวโลกขึ้นไปเหยียบย่างมาแล้วเมื่อหลายทศวรรษก่อน 


    ภูตจิ้งจอกอ้าปากพ่นลมหายใจหลังจากเหล้าหยดสุดท้ายลงเอยในกระเพาะ พอคิดถึงอดีตทีไร เขาเป็นต้องรู้สึกถึงน้ำหนักของความโหยหาอาลัยที่ทำให้เผลอค้อมหลังลงทุกที เจ้ามาถึงแล้ว วัยที่ลืมตาขึ้นมาก็คิดเป็นอย่างแรกว่าตนช่างแก่เฒ่าเหลือทน เสียงสามัญสำนึกของเขาคอยย้ำเตือนเหมือนนาฬิกาปลุกและทำให้ภูตในร่างชายหนุ่มอยากกลับไปจำศีลแทบจะทันที แต่เขายังต้องโน้มน้าวตัวเองให้ผ่านพ้นวันคืนใหม่ ๆ อย่างเปี่ยมความหวังต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเอื้อมมือไปหาขวดที่สอง


    ตอนนั้นเองที่ถุงพลาสติกสีดำอีกถุงโผล่เข้ามาในจังหวะเดียวกัน ถ้าไม่หันตามไปแต่แรก ภูตจิ้งจอกอาจได้คว้าข้อมือของคนแปลกหน้าที่วางของลงข้าง ๆ แทน เสียงขวดแก้วแบบเดียวกันกับของเขาชนกันดังกริ๊งเบา ๆ ผ่านถุงร้านสะดวกซื้อ กลิ่นรามยอนลอยเตะจมูกมาพร้อมไอร้อนฉุย


    ภูตจิ้งจอกรีบเขยิบไปจนสุดปลายม้านั่ง แม้ระยะห่างที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เมื่อเหลือบมองทางหางตา ชายหนุ่มที่เพิ่งมาเยือนดูจะไม่สนใจการมีอยู่ของเขาสักเท่าไร เขาวางถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบนตักแล้วเปิดฝาโซจูอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะกระดกขวดดื่มอึกใหญ่เหมือนคนกระหายน้ำ แต่ดวงตาที่หยีเป็นเส้นตรงและริมฝีปากที่เม้มแน่นหลังวางขวดลงแล้วบ่งบอกว่ารสเหล้าคงบาดคอไม่น้อย เขาแกะตะเกียบออกจากซอง ยกมือขึ้นเอาปอยผมที่ยาวเกือบประบ่าทัดหลังหู ถึงจะมัดรวบเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ส่วนที่เหลือก็ยังถูกสายลมอ่อน ๆ พัดไปแตะแก้มอยู่ดี


    ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นก็หันมาราวกับรู้สึกตัวว่าถูกแอบมอง แต่นั่นอาจเป็นเรื่องของจังหวะและความบังเอิญก็ได้ เมื่อสบตากัน เขาแค่ค้อมศีรษะให้น้อย ๆ แล้วหันหน้าไปทางแม่น้ำ จากนั้นก็คีบบะหมี่คำโตเข้าปาก กระพุ้งแก้มกลม ๆ นั่นขยับขึ้นลงจนดูน่าเอร็ดอร่อย ภูตจิ้งจอกนึกขึ้นได้ว่าเขาควรเปิดเหล้าขวดใหม่ คราวนี้ฝาบิดง่ายกว่าเดิมมาก


    เขาจัดการของเหลวในขวดไปได้ราวกึ่งหนึ่งตอนได้ยินคนข้างตัวซดน้ำซุปจากถ้วยเสียงดัง พอได้ยินว่าพวกเขาพ่นลมหายใจอย่างสบายอารมณ์ออกมาพร้อมกันอย่างกับนัดแนะ ภูตจิ้งจอกก็หลุดหัวเราะหึออกมาไวกว่าจะห้ามตัวเองได้ทัน จากนั้นถึงค่อยตระหนักได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มุมปากของตนยกเป็นรอยยิ้มช่างเป็นความทรงจำแสนห่างไกล ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกเสียดายหรืออมทุกข์หนักหนา ก็แค่รู้สึกว่าที่ผ่านมา โฉมหน้าของมนุษย์ที่หยิบยืมมาไม่เคยแนบสนิทจนอนุญาตให้เผยสิ่งที่อยู่ข้างใต้ออกมาได้เลย แต่แล้วจู่ ๆ ตอนนี้ในอกกลับอุ่นวาบ รู้สึกจั๊กจี้เหมือนมีดอกไม้ไฟจิ๋วเต้นระบำอยู่บนผิวเสียอย่างนั้น


    หรือว่าเขาจะคออ่อนขึ้นมาดื้อ ๆ และนี่คืออาการเมาที่เขาว่ากัน


    “ขอโทษนะ” 


    ชายหนุ่มคนข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมาได้จังหวะพอดิบพอดี เป็นการทักเพื่อดึงความสนใจด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย


    หวา หรือว่าเมื่อกี้จะโกรธ ภูตจิ้งจอกสะดุ้งโหยงอยู่ลึก ๆ ในใจ แม้มองจากภายนอกจะยังดูสุขุมดียามหันไปตามเสียงเรียกก็ตาม เจ้าหนุ่มผมยาวคนนั้นชี้มาที่ถุงพลาสติกของเขา ก่อนจะถามซื่อ ๆ ว่า “ผมขอซื้อต่อได้ไหม” ภูตจิ้งจอกมั่นใจว่าในนั้นไม่มีอะไรนอกจากโซจูอีกสองขวดที่กะจะเก็บกลับบ้าน เขาเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าเหล้าที่อีกฝ่ายเปิดดื่มตอนนั่งลงตรงนี้หมดเกลี้ยงจนเหลือแต่ขวดเปล่า ท่าทางหมอนี่จะดื่มกับรามยอนต่างน้ำจริง ๆ ด้วย 


    ภูตจิ้งจอกไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เขาเอี้ยวตัวไปมองร้านสะดวกซื้อเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงปากทางเข้าสวนสาธารณะแล้วหันมาสบตาหนุ่มผมยาวอีกครั้ง หวังว่าอีกฝ่ายจะแปลความหมายในท่าทีของเขาออก แต่พอเห็นว่าใบหน้าที่จ้องกลับมานั้นแดงก่ำราวกับอาบด้วยแสงไฟจากเรือที่ล่องในแม่น้ำ ไหนจะนัยน์ตาเลื่อนลอยเหมือนจับจุดไม่ถูกนั่นอีก เขาก็ชักไม่แน่ใจเท่าไรว่าให้พ่อหนุ่มนี่ดื่มต่อจะเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า


    “ไม่ได้หรอกครับ” ชายหนุ่มว่า ท่าทางจะเข้าใจสิ่งที่ภูตจิ้งจอกไม่ได้พูดตรง ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ที่เขาพูดเสริมหลังจากนั้นว่า “ก็อยากไปเองหรอก แต่ตอนนี้ผมไม่น่าจะเดินไหว” นั้นไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้นสักนิดเดียว


    ภูตจิ้งจอกหยิบถุงพลาสติกของตัวเองขึ้นมาวางไว้บนตัก ให้อยู่ในระยะปลอดภัยจากเงื้อมมือชายหนุ่มที่ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อน เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจปนโอดครวญเบา ๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าตัวเปลี่ยนอิริยาบถมาวางศอกเท้ากับต้นขา ประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เจือสีระเรื่อด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง สร้อยข้อมือเงินที่สวมอยู่หลายเส้นส่องประกายเมื่อแสงนวลตาจากเสาไฟส่องมาแตะต้อง เช่นเดียวกับเรือนผมสีน้ำตาลที่ล้อมรอบด้วยรัศมีสีทองอ่อนจาง เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่งดงามอยู่หรอก แต่จากสภาพก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงดูกลุ้มอกกลุ้มใจนัก


    มนุษย์นี่ ไม่ว่าสมัยไหนก็เหมือนกันหมดจริง ๆ 


    “เอ้า”


    พูดออกไปแล้ว แต่สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาสั้น ๆ แทบไม่เป็นคำที่มีความหมายกลับฟังดูแปร่งจนตัวเองแทบจำไม่ได้ ภูตจิ้งจอกกระแอมไอแก้เก้อ ยื่นขวดที่มีโซจูเหลืออยู่อีกครึ่งไปให้พ่อหนุ่มผมยาว นัยน์ตาของอีกฝ่ายฉายแววสงสัยแต่ก็วิบวับเหมือนลูกปัดขัดเงา ชวนให้นึกถึงพวกสัตว์ป่าเล็ก ๆ ที่กำลังชั่งใจว่าจะรับอาหารจากมือคนดีหรือไม่ 


    “แค่อึกเดียว” ภูตจิ้งจอกพูดเสียงเข้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมถือถุงในมืออย่างหวงแหน “ดื่มเสร็จแล้ววางไว้ ห้ามแตะต้อง เดี๋ยวฉันกลับมา”


    พอมีเวลาได้คิดทบทวนระหว่างทาง เขาถึงมารู้สึกว่าสิ่งที่เพิ่งพูดไปฟังดูพิลึกชอบกล ภูตจิ้งจอกเร่งฝีเท้าตรงไปยังร้านค้า ดึงประตูเปิดแล้วตรงดิ่งไปหยิบน้ำเปล่าในตู้แช่ เมื่อกลับมายังม้านั่งตัวเดิมในเวลาอันรวดเร็ว เขาก็พบว่าตนเองสูญเสียพลังงานทั้งหมดไปเพื่อพิสูจน์ว่าลางสังหรณ์ที่มีนั้นถูกต้อง พ่อหนุ่มผมยาวฟาดเหล้าในขวดจนไม่เหลือสักหยด แถมยังมีหน้ามาบอกว่าผิดหวังตอนที่เขาหยิบยื่นขวดน้ำ 1.5 ลิตรให้ เพราะดันไปหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าเขาจะใจดีจัดครื่องดื่มมึนเมามาให้ตามที่ร้องขอ


    “ไอ้หมอนี่” ภูตจิ้งจอกอดจิ๊ปากเสียงดังไม่ได้ “รีบดื่มน้ำตามให้มากเถอะ”


    ชายหนุ่มหัวเราะคิก แต่ยังถือขวดพลาสติกใสไว้ในมืออย่างนั้น


    “เมื่อกี้น่ะ ผมดื่มไปอึกเดียวจริง ๆ นะ” 


    ทั้งรอยยิ้มเพ้อฝัน ทั้งเสียงอ้อแอ้ ภูตจิ้งจอกนึกอยากเอื้อมมือไปดีดหน้าผากหรือดึงแก้มให้ยืดสักทีหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสัญชาตญาณสัตว์ที่อยากขย้ำสิ่งมีชีวิตในสภาวะอ่อนแอกว่าหรือไม่ แต่ในเมื่อกำลังใช้ร่างมนุษย์อยู่ เขาจึงลงเอยด้วยการบำเพ็ญความดีอย่างช่วยเปิดฝาขวดน้ำแล้วเสิร์ฟให้ดื่มอีกคนถึงปากแทน ไม่อย่างนั้นไอ้หนุ่มนี่อาจได้นั่งบื้อใบ้ไม่สร่างสักที


    เขาไม่ได้รับคำขอบคุณ แต่ได้ยินเสียงสะอึกกับหัวเราะร่าเริงตอบกลับมาแทน ดูท่าหนุ่มผมยาวจะเมาเกินแก้ คงได้แต่รอให้ร่างกายขจัดเหล้าในกระแสเลือดให้หมดไปเอง พอคิดแบบนั้น ภูตจิ้งจอกก็รู้สึกเหมือนเจอกับดักที่ตนเองกำลังจะเหยียบลงไปอย่างจังทั้งที่รู้ ไม่ว่าจะคอยอยู่เป็นเพื่อนจนหายห่วงดี หรือคิดว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของเราดี มาคิดเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว


    “นี่คุณ” 


    “เงียบเลย นายเมาแล้ว”


    “ไม่ได้เมาสักหน่อย”


    ป่วยการจริงเชียว ภูตจิ้งจอกสงสัยว่าตัวเองจะรับบทบาทคนดีมีน้ำใจไปทำไมกัน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาควรเป็นฝ่ายระวังคนแปลกหน้าที่เจอกันดึก ๆ ดื่น ๆ เสียมากกว่า 


    “นี่คุณ” หนุ่มผมยาวไม่ยอมแพ้แล้วยังเขยิบมาใกล้ พอเห็นว่าเขาจงใจไม่มอง เจ้าตัวเลยโน้มตัวมาดักหน้าแล้วช้อนสายตาขึ้นมาหาแทน


    เริ่มจะอันตรายแล้ว ภูตจิ้งจอกกระแอมเสียงดัง


    “อะไรอีก”


    “คุณอายุเท่าไรเหรอ”


    “ทำไม”


    “จะได้พูดจากันถูกไง”


    ใจจริงอยากจะตอบไปว่าพูดสุภาพหน่อยก็ดีอยู่แล้ว แต่ครั้นเห็นหนุ่มผมยาวเอียงคอรอคำตอบด้วยความจดจ่อเท่าที่คนเมาจะมีได้ ภูตจิ้งจอกก็อยากจะลองใช้ประโยชน์จากคนแปลกหน้าที่ไม่น่าจะพานพบกันอีกแล้วสักครั้ง ก่อนหน้านี้ แม้ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ทั่วไปนอกเหนือความจำเป็น แต่บทสนทนาส่วนใหญ่ล้วนก่อร่างสร้างขึ้นบนคำลวงทั้งสิ้น ทั้งชื่อ ที่อยู่ การศึกษา ทรัพย์สิน ข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตทุกยุคทุกสมัย ตลอดจนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่จำต้องเล่าให้คนช่างซักฟัง นาน ๆ ทีเขาจึงคิดถึงการพูดความจริงออกไปอย่างเรียบง่ายเหมือนการหายใจ ทำแบบนั้นแล้วคงปลอดโปร่งดีพิลึก


    “อายุเหรอ” ภูตจิ้งจอกทวนคำถาม หนุ่มผมยาวพยักหน้าหงึกหงัก


    “เท่าไรครับ”


    “สองพัน”


    คนรอฟังชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าว่างเปล่าเสียจนน่าขำทำให้เจ้าของคำตอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แต่ก็ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น อยู่ ๆ ชายหนุ่มเจ้าปัญหาก็ชูมือขึ้นฟ้าด้วยอาการดีใจ รอยยิ้มกว้างจนน่าสงสัยเผยให้เห็นรอยบุ๋มและขีดข้างแก้มเหมือนแมวเจ้าเล่ห์ ดูเหมือนเฉดสีระเรื่อบนใบหน้ายังไม่มีเค้าลางว่าจะจางลงแม้แต่น้อย


    “ที่แท้ก็เกิดปี 2000 เองสินะ” หนุ่มผมยาวว่าพลางตบบ่าของภูตจิ้งจอกไปด้วย “ถึงฉันจะเกิดก่อนนายปีหนึ่ง แต่จะยอมให้พูดจากันเองด้วยแล้วกัน” 


    ใช่ที่ไหนล่ะเว้ย ได้ยินแล้วถึงกับสบถในใจ สิ่งมีชีวิตอายุสองพันปีตัวจริงส่ายหน้าปนขำกับทิศทางที่บทสนทนานี้กำลังดำเนินไป เขารีบคว้ามือที่วางอยู่บนไหล่อย่างสนิทสนมออก แต่กลายเป็นว่าโดนอีกฝ่ายพลิกกลับมากุมไว้มั่นแล้วเขย่าจนเป็นการจับมือทำความรู้จักกันแทน 


    “หรือจะเรียกฉันว่าพี่ก็ไม่ขัดหรอกนะ” เจ้าตัวทำเป็นผงกศีรษะอย่างสุขุม


    ยิ่งเห็นคนแปลกหน้าได้ใจ ท่าทีเปลี่ยนไปไวเหมือนรูปประโยคที่ใช้สนทนา ภูตจิ้งจอกก็ชักอยากทดสอบต่อไปอีก ถึงจะคิดว่าไอ้หนุ่มผมยาวนี่เหลือรับจริง ๆ แต่ไม่รู้ทำไมหมอนี่ถึงทำให้อยากหัวเราะออกมามากกว่าจะหนีให้ไกล


    “อายุสองพันปีต่างหาก” ภูตจิ้งจอกกล่าวจริงจังอีกครั้งหรึ่ง


    กลับกัน อีกฝ่ายส่งเสียงดูแคลนเหมือนคำพูดของเขาเป็นเพียงมุกตลกเห่ย ๆ แถมสายตายังตัดสินกันอย่างไม่ปิดบังอีก


    “นายต่างหากที่เมาแล้ว” หนุ่มผมยาวพูดหน้าตาเฉย


    คิด ๆ ดูอีกที พวกเขาอาจจะเมากันทั้งคู่ก็ได้ 


    “นี่” ภูตจิ้งจอกว่า “ถ้าฉันไม่ใช่มนุษย์ จะอายุสองพันปีก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ”


    หนุ่มผมยาวกะพริบตาช้า ๆ ราวกับกำลังใคร่ครวญสิ่งที่เพิ่งได้ยิน มิหนำซ้ำยังเอียงคอมองทั้งทางซ้ายขวาเพื่อสำรวจร่างของเขาอีก ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวรู้ตัวหรือเปล่าว่าเผลอทำปากยื่นมาน้อย ๆ เหมือนมนุษย์เด็กตัวจ้อย สุดท้ายทำนบความอดทนของภูตจิ้งจอกก็พังทลายลงจนต้องหลุดขำออกมา แรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ในช่องอกให้ความรู้สึกไม่เหมือนเคย เขากลัวแทบแย่ว่าจะเผลอปล่อยเสียงแหลมสูงแบบจิ้งจอกออกไป แต่โชคยังดีที่เสียงหัวเราะที่ลอยเข้าหูนั้นทุ้มต่ำไม่ต่างจากเสียงพูดธรรมดามากนัก 


    “ถ้าไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรได้” คำถามที่มาพร้อมน้ำเสียงข้องใจกับสีหน้าสงสัยของหนุ่มผมยาวนี่มันตลกจริง ๆ


    “เป็นจิ้งจอก” เขาพยายามข่มเสียงหัวเราะปนหอบของตัวเองไว้ “จิ้งจอกที่อายุสองพันปีแล้วด้วย”


    เสียงแค่นหัวเราะดัง “เหอะ” ของอีกฝ่ายนั้นไม่เกินความคาดหมายอะไร แต่ที่ทำเอาตกใจจนแทบร่วงจากม้านั่งคือตอนที่จู่ ๆ หนุ่มผมยาวก็เอื้อมมือมาดึงแก้มซ้ายของภูตจิ้งจอกเสียเต็มแรง 


    “ไม่น่าใช่มั้ง” คนมือไวไม่มีทีท่าสำนึกผิด แม้จะเห็นเขากุมแก้มข้างที่โดนหยิกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “นายเหมือนโคอาล่ามากกว่า”


    ภูตจิ้งจอกพยายามนึกภาพหมีหน้าตาชอบกลที่แทบไม่ขยับจากต้นไม้ในสวนสัตว์ อย่างเดียวที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าคือปากที่เคี้ยวใบไม้หนุบหนับให้เด็กนักเรียนตัวเล็กร้อง “ว้าว” ระหว่างเกาะกระจกดูอย่างใกล้ชิด ไม่รู้ทำไมหนุ่มผมยาวถึงเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเขากับเจ้าตัวนั้นได้ แล้วหมอนั่นรู้ได้อย่างไรว่าเขาเองก็ไม่ชอบขยับเขยื้อนไปไหนถ้าไม่จำเป็น แต่จะให้ออกปากถามตอนนี้ก็อาจไม่ได้คำตอบ ในเมื่อคนข้าง ๆ ดันขำกับคำพูดตัวเองเสียจนตัวงอ เอาแต่หัวเราะไม่หยุดจนน่ากลัวว่าจะขาดอากาศหายใจ เห็นแล้วแทนที่จะโกรธกลับรู้สึกฉงนปนทึ่งมากกว่า


    "นี่ฉันพูดความจริงนะเนี่ย" ภูตจิ้งจอกว่า ยิ่งทำให้หนุ่มผมยาวฮาหนักขึ้นอีก


    เขาปล่อยให้อีกฝ่ายบ้าจี้จนพอใจ กระทั่งเสียงคิกคักค่อย ๆ เบาลงจนเหลือเพียงบรรยากาศรอบข้าง เมื่อหันไปมองอีกครั้งก็พบว่าหนุ่มผมยาวยังนั่งกุมท้องอยู่ท่าเดิม เพราะก้มหัวลงไปแบบนั้นแถมเส้นผมยังบดบังเสี้ยวหน้า ภูตจิ้งจอกจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าหนุ่มนี่ทำหน้าตาแบบไหนอยู่ เขารอดูต่อไปอีกพักหนึ่ง แต่เจ้าตัวดันไม่มีทีท่าว่าจะขยับแต่อย่างใด จะให้เอื้อมมือไปสะกิดก็ยังไงอยู่


    ไม่เมื่อยแย่เหรอนั่น ภูตจิ้งจอกได้แต่นึกสงสัย หนุ่มผมยาวนิ่งงันราวรูปปั้น ตัวเขาที่จ้องมองไม่วางตาอีกทอดหนึ่งก็เผลอเกร็งจนเกือบกลายเป็นประติมากรรมไปด้วย นานเท่าใดไม่รู้ ริมฝีปากของอีกฝ่ายถึงค่อยขยับเพื่อเปล่งคำพูดสั้น ๆ ออกมา 


    “เหนื่อยจัง”


    หากเป็นก่อนหน้านี้ หลังจากเพิ่งต่อปากต่อคำกันหมาด ๆ ภูตจิ้งจอกคงตอกกลับเข้าให้ว่าไม่เห็นแปลก ก็เล่นหัวเราะก้ากเสียขนาดนั้น แต่พอช่วงเวลานั้นล่วงเลยมาแล้ว เขาก็ไม่รู้แล้วว่าหมอนี่แค่ความรู้สึกช้าหรือว่ากำลังพูดถึงเรื่องอื่นกันแน่ อาจจะแค่รำพึงกับตัวเองเฉย ๆ และไม่ได้หวังให้คนนอกอย่างเขามาได้ยินเข้าก็เป็นได้


    ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก เขายังนั่งอยู่เหมือนเดิมแบบนั้น ทว่านี่เป็นครั้งแรกในค่ำคืนประหลาดเกินคาดฝัน หรือไม่ก็เป็นครั้งแรกในชั่วนิรันดร์ ที่ภูตจิ้งจอกรู้สึกว่าบางทีตนอาจจะมีหัวใจแบบเดียวกับมนุษย์ที่แต่เดิมผ่านมาแล้วผ่านไปเหมือนเงาวูบไหว เหมือนใบไม้ร่วง เหมือนเมฆเคลื่อนผ่านพระจันทร์ แม้เวลาสองสหัสวรรษที่หลับใหลในตัวของเขาจะห่างกันเป็นร้อยเท่ากับกาลเวลาที่คนแปลกหน้าบรรจุไว้ในร่างชายหนุ่ม แต่ความเหนื่อยล้าจากการแบกรับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตเคยเลือกถามความสมัครใจด้วยหรือ วันเวลาแสนจำกัดที่เรียกว่าอายุขัยของมนุษย์จะไม่ยิ่งทำให้ความทุกข์ยากนั้นทบเท่าพันทวีหรืออย่างไร สุดท้ายแล้ว ภูตจิ้งจอกคิด ความเห็นอกเห็นใจอาจไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการมองเห็นความโศกเศร้าที่ไม่อาจบอกใครในตัวกันและกัน


    แม้แต่ตัวภูตจิ้งจอกเองก็ยังประหลาดใจกับความรู้สึกที่ผลิบานเหมือนดอกไม้หายากในช่วงเวลาเร้นลับ เมื่อครู่เขาอาจจะคิดมากไปเอง อ่อนไหวไปเอง แต่เมื่อมองชายหนุ่มที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่เคียงกัน เขาก็ไม่รู้จะตอบรับว่าอย่างไรนอกเหนือไปจากนี้


    “มันก็เหนื่อยอย่างที่นายว่าแหละนะ”


    ภูตจิ้งจอกไม่รู้ว่าหนุ่มผมยาวรับรู้ความเห็นของตนหรือไม่ หลังจากนั้นอีกฝ่ายดูคล้ายจะสัปหงกเป็นพัก ๆ โดยไม่รู้สึกตัวสักทีหนึ่ง ท่าทางน่าหวาดเสียวว่าจะหัวคะมำจนเขาต้องกลั้นใจไปคว้าตัวไว้ก่อนเกิดเหตุ แต่สะกิดก็แล้ว เขย่าตัวเบา ๆ ก็แล้ว ชายหนุ่มกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากครางหงุดหงิดแล้วเอนไถลไปบนม้านั่ง เรียกได้ว่าเมาสนิทแบบไม่ต้องสืบ


    “นี่จะหลับตรงนี้จริง ๆ หรือ”


    ไม่มีคำตอบ มีเพียงศีรษะที่จู่ ๆ ก็เอนวูบมาพิงตรงไหล่พอดี ภูตจิ้งจอกตัวแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ ส่วนคนที่ใช้ตัวเขาต่างหมอนกลับขยับยุกยิกราวกับกำลังหามุมเหมาะ ๆ ให้หลับอย่างสบายอารมณ์ เขาพยายามค้นหาร่องรอยเล่ห์กลบนใบหน้าของอีกฝ่าย เผื่อว่าจะมีใครหาญกล้ามาตบตาภูตจอมลวงหลอก แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าไม่พบอะไรนอกจากความไร้เดียงสา ไม่ระมัดระวัง และยากจะเข้าใจเพียงเท่านั้น


    และแล้ววันแรกของฤดูใบไม้ผลิที่ภูตจิ้งจอกตั้งใจจะใช้อย่างเงียบ ๆ ก่อนกลับไปหมกตัวอยู่ในห้องก็ลงเอยเช่นนี้ ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นไปตามแผน เขาจึงตัดสินใจว่าจะปล่อยไปสักครั้ง ไม่ว่าจะเรื่องที่ให้คนแปลกหน้ามาแย่งเหล้าหรือเรื่องที่ให้ยืมไหล่เป็นที่พักพิง ภูตจิ้งจอกเอ่ยคำว่าช่างมันเถอะในใจ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อฟังเสียงลมหายใจแผ่วเบาที่ดังชัดราวกับว่าอยู่ตรงนั้นตลอดมา 

     


    /fin.



    note: 



    - ภาพประกอบของหนุ่มผมยาวกับจิ้งจอกสองพันปี

    - จิ้งจอกดูหน้าเด็กเกินไป แต่เนื้อแท้แล้วเหมือนคนอายุ 2000 ปีจริง ๆ (คังชานฮี SF9 ค่ะ)

    - หนุ่มผมยาวน่ารัก (คิมฮวียอง SF9 ค่ะ)

    - แค่อยากเขียนมุก 2000 ปีกับปี 2000 เฉย ๆ แต่ยาวตั้งสามพันกว่าคำเฉยเลย น่ากลัวจริง ๆ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in