เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
QUITE SHORT STORIESgiftmeme
red
  • traffic light


    ตอนที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นหยุด แอลผละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยไปกดปุ่มเปิดวิทยุ การเคลื่อนไหวปุบปับเช่นนั้นทำให้ผมเกือบสะดุ้งเพราะนึกว่าเขาจะเอื้อมมากุมมือของผมที่วางอยู่บนต้นขาเสียแล้ว ขอโทษนะ แววตาของเขาเอ่ยยามผมหันไปสบตา ไม่รู้ว่าขอโทษอะไรกันแน่ ขอโทษที่ทำให้ผมตกใจ ขอโทษที่เปิดวิทยุโดยไม่ไถ่ถาม ขอโทษสำหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หรือบางทีอาจจะขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นได้  ในความเงียบงันไร้คำพูดนั้น เสียงนักร้องสาวขับขานเพลงป็อปที่ผมเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งดังขึ้นมากลบเสียงฮัมต่ำ ๆ ของเครื่องปรับอากาศ เนื้อเพลงท่อนแรกสะท้อนสถานการณ์ของเราอย่างน่าประหลาด แม้ว่ารถของแอลจะไม่ใช่มาเซราติ แต่ผมรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเรากำลังมุ่งหน้าสู่ทางตันที่ไหนสักที่ และเมื่อท่อนคอรัสจังหวะคึกคักจบลง ผมถึงตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วนี่คือเพลงเศร้าว่าด้วยการจากลา


    ความรู้สึกเจ็บแปลบตรงที่ที่มีหัวใจอยู่ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมากดหน้าอก อดทนอีกแค่พ้นแยกนี้ไป  อดทนอีกแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เพียงแค่รอให้ตัวเลขล่องหนนับถอยหลังจนเปลี่ยนสัญญาณไฟเป็นสีเขียวอีกอึดใจเดียว เพื่อที่เราจะได้เคลื่อนไปข้างหน้า เพื่อที่ผมจะได้จับมืออำลาและปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระเสียที แม้รู้ดีว่าผมต่างหากที่เป็นฝ่ายจองจำเขาตลอดมา แต่เสียงของเขาที่เรียกผมว่า "เจย์" ก็ยังอ่อนโยนราวกับคนโง่จนกระทั่งวินาทีนี้อยู่ดี ผมหันไปหาเขาอย่างเคยตัว ทว่าสิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกไม่ใช่แอล รถบรรทุกคันหนึ่งพุ่งสวนมาทางเราด้วยความเร็วชั่วพริบตา ในห้วงแห่งการปะทะนั้น น่าแปลกเหลือเกินที่เวลากลับเดินช้าลงเสียจนเห็นชั่วขณะต่าง ๆ ร้อยเรียงกันอย่างแจ่มแจ้ง — แสงแดดยามบ่ายสะท้อนกระจกข้างเจิดจ้า ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เศษกระจกกระจัดกระจายเหมือนทรายระยิบระยับ จากนั้นทุกอย่างก็หกคะเมนตีลังกา ลอยคว้างราวกับอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก มีเพียงเข็มเข็ดนิรภัยเส้นหนึ่งที่รั้งร่างนี้ไว้กับโลก


    ไม่จริง ผมคิด เป็นไปไม่ได้หรอก



    แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง



    /



    curse



    เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าผมรักใคร คนคนนั้นจะตาย


    แม้เหตุการณ์พรรค์นั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวผมมาก่อน แต่เผ่าพันธุ์ของเราล้วนทราบข้อเท็จจริงนี้ดี จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อห้ามอะไร ในเมื่อเราไม่ค่อยสนใจอยู่แล้วว่าใครจะเป็นหรือตาย ไม่สำคัญด้วยซ้ำว่าเราจะไปรักใครเข้าหรือไม่ ตราบใดที่เขามอบความรัก ความหลงใหล ตลอดจนความใคร่ให้เราดื่มกินจนหยาดหยดสุดท้ายโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะพวกเราดำรงอยู่บนโลกใบนี้ได้ด้วยการเสพอารมณ์ลึกซึ้งของมนุษย์ จากนั้นก็ออกจากชีวิตของพวกเขาไปเมื่ออิ่มเต็มคราบ ด้วยเหตุนี้กระมังถึงโดนตะโกนด่าไล่หลังว่าเป็นปีศาจอยู่บ่อย ๆ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่พวกเราสักคนจะอยู่กับมนุษย์คนเดียวคนเดิมเป็นเวลานาน นานพอให้กิจวัตรประจำวันซ้ำซาก ความธรรมดาสามัญอันอบอุ่นใจ และอะไรคล้าย ๆ ความรักทำให้หลงลืมว่าตัวเองเป็นใคร จากนั้นก็ ตูม มนุษย์ผู้เป็นที่รักตายดับไปเสียแล้ว


    ปีศาจคลั่งรักจะเรียกเงื่อนไขนี้ว่าคำสาปพร้อมกับตีอกชกตัว และเมื่อมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นจนข่าวแว่วมาเข้าหู ประโยคเดิมจะถูกย้ำเป็นข้อเตือนใจทุกครั้งไป จำไว้ให้ดี ถ้าไปรักใครเข้า คนคนนั้นจะตาย แต่ไม่ว่าจะรักหรือไม่รักแล้วอย่างไรเล่า ปลายทางก็มิใช่ความสุขสมหวังอันเรียบง่ายเหมือนในเทพนิยายอยู่ดี หากต้องเดินจากมายามเฉียดใกล้ความเป็นไปได้นั้นก็เจ็บปวด หากต้องสูญเสียเพราะความเป็นไปได้กลายเป็นความจริงก็เจ็บปวด ผมผู้ฝักใฝ่ในความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนและไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์จินตนาการความรู้สึกลึกล้ำเช่นนั้นไม่ออกสักนิดเดียว เราจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือความรัก ผมถามเพื่อนผู้บอกเล่าประสบการณ์ตรงให้ฟัง ไม่รู้หรอก เธอตอบ จนกระทั่งมันเกิดขึ้นแล้ว ในเมื่อนี่ไม่ใคร่ยุติธรรมและค่อนข้างอันตราย พวกเราบางคนจึงแก้ปัญหาอย่างทื่อ ๆ ด้วยการเลือกเป้าหมายจากรายชื่อของยมทูต ด้วยคิดว่าจะรู้สึกผิดน้อยลงถ้าหลอกลวงคนที่ใกล้ถึงฆาตในเร็ววันอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่านั่นช่างน่าสมเพชเวทนา แต่ว่าไม่ได้พูดออกไป


    ผมได้พบกับแอลผ่านทางยมทูตที่รู้จัก ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวความรักถึงขั้นหวาดระแวง แต่เป็นเพราะแฮชเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังระหว่างเคี้ยวชีสเบอร์เกอร์เต็มปากในบ่ายวันหนึ่ง เขารู้สึกเสียดายที่ต้องย้ายออกจากบ้านเช่าซึ่งสู้รับบทเป็นนักศึกษาเพื่อให้ได้มา อายุเกินแล้วหรือ ผมพูดจาหน้าตาย ก่อนจะทราบว่าจริง ๆ แล้วอีกฝ่ายเสียใจที่เพิ่งเห็นชื่อของเจ้าของบ้านปรากฏขึ้นในรายนามดวงวิญญาณที่ต้องเก็บเกี่ยว ด้วยเหตุนี้จึงไม่อยากอยู่ร่วมกันให้ผูกพันมากกว่าเดิมอีกแม้แต่วันเดียว อาจเป็นวันไหนในหกเดือนนี้ก็ได้ ผมลำบากใจนะรู้ไหม แฮชคร่ำครวญ ไม่น่าแปลกใจเท่าไรเพราะเขาขึ้นชื่อว่าชอบสมาคมกับมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยเจอเหตุบังเอิญครั้งใหญ่ที่ทำให้ตัวเองแทบไม่อยากยอมรับว่าใจอ่อน มองว่าชีวิตคนไม่ใช่แค่ชื่อสกุลหรือตัวเลขให้พรากไปตามหน้าที่ บางทียมทูตผู้นี้อาจคิดว่าเผ่าพันธุ์ของผมจะเข้าใจและรักใคร่มนุษย์ดุจเดียวกัน ถึงได้ร้องขอให้ผมรับช่วงเป็นผู้เช่าและอยู่ร่วมชายคากับคนคนนั้นจนกว่าวันแห่งการตัดสินจะมาถึง พี่ต้องชอบเขาแน่ ๆ แฮชชูนิ้วโป้งเป็นการรับประกัน ทั้งที่เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเท่าการที่ "เขา" ต้องชอบผมต่างหาก เรื่องนี้ถึงจะสมประโยชน์กันทุกฝ่าย


    อาจเป็นเพราะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอยู่เล็กน้อย ผมจึงเดินทางไปพบชายชื่อแอลตามที่แฮชจัดแจงให้ วันนั้นเป็นวันอากาศเย็นจัดวันหนึ่งในเดือนธันวาคม เพียงแค่หายใจเข้าก็รู้สึกเหมือนมีเข็มเล่มเล็ก ๆ ทิ่มโพรงจมูก นั่นถือเป็นข้อเสียน่ารำคาญอย่างหนึ่งของการจำแลงร่างเป็นมนุษย์แสนบอบบาง ทว่าเล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับความสุขสมที่สามารถตักตวงได้จากมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากนี้กลิ่นหอมหวานของแป้งทอดร้อน ๆ จากรถขายอาหารข้างทางก็ยังช่วยเยียวยาความเจ็บปวดได้อย่างอ่อนโยน ความสามารถในการรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บก็เป็นสิ่งที่น่าอิจฉาของคนอยู่เหมือนกัน ผมคิดหลังจากกัดขนมคำแรก รสชาติที่แผ่ซ่านไปทั่วปากทำให้ถนนทั้งสายที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศคริสต์มาสดูรื่นรมย์ขึ้นมาทันตาเห็น ผมพยายามไม่กังวลเกินพอดีเรื่องมนุษย์แปลกหน้าที่นัดให้มาเจอกัน ณ สวนสาธารณะโดยไม่ดูลมฟ้าอากาศ ไม่มีใครไม่ชอบผมมาก่อน ไม่มีใครเคยปฏิเสธ แต่สถานการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติเช่นทุกครั้งยังคงทำให้รู้สึกประหม่าอย่างน่าอาย ผมโยนกระดาษห่อขนมลงถังขยะ ตุ๊กตาซานตาคลอสตรงหัวมุมถนนส่งยิ้มให้ผมด้วยแววตาไร้ประกาย 


    แอลมาก่อนเวลา แต่ผมก็ไม่ได้มาสาย เขารออยู่บนม้านั่งที่หันหน้าเข้าหาบึงขนาดย่อมตามที่นัดแนะกันไว้ ผิวน้ำในนั้นเริ่มจับตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งแสนเปราะบาง เหมือนกระจกบานเก่าที่แตกร้าวและหมองมัวเกินกว่าจะสะท้อนเงากิ่งไม้ไร้ใบเบื้องบน ในมือของเขามีแอปเปิ้ลสุกปลั่งที่น่าจะกัดไปแล้วคำหนึ่ง นั่นเป็นสีสันเดียวที่โดดเด่นออกมาจากพื้นหลังซีดเซียวของฤดูหนาว เสื้อโค้ตยาวสีกรมท่า และเรือนผมสีดำ ผมยืนมองฉากตรงหน้าที่คล้ายกับภาพวาดซึ่งไม่เด่นดังอะไรในพิพิธภัณฑ์ แต่รั้งให้ผู้ชมคนหรือสองคนชะงักได้ทุกครั้ง แอลไม่รู้ตัวอยู่นานทีเดียวจนกระทั่งผมส่งเสียงออกไป อย่างน้อยยมทูตก็ไม่ได้โกหกผม หากคำรับรองที่ว่าผมต้องชอบเขาแน่ ๆ หมายถึงรูปลักษณ์ตั้งแต่แรกเห็น เมื่อแอลลุกขึ้น ผมถึงได้รู้ว่าเขาสูงกว่าผมหรือมากกว่าคนที่เคยพบเจอเสียอีก ดวงตาเรียวและริมฝีปากหยักรั้น ๆ ทำให้ใบหน้าของเขาดูเย็นชา ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มฝืนตามมารยาทหลังจากเราค้อมศีรษะทักทายกัน 


    "คุณทำงานอะไรเหรอ" นั่นเป็นคำถามที่น่าเบื่อเหลือเกิน

    "อิสระ" ผมตอบ "แต่ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน แล้วคุณล่ะ"

    "เหมือนกัน"

    "อ๋อ"

    "เป็นช่างภาพ"

    "เข้าใจแล้วครับ"

    "คุณกลัวหมาไหม" 

    "ไม่นะ ผมชอบหมา"

    "อยากให้ช่วยย้ายของเข้าบ้านหรือเปล่า"

    "ตกลงว่าผมได้เช่าเหรอ"

    "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"


    สีหน้าของผมตะโกนคำว่า อะไรเนี่ย ใส่เขา ตอนนั้นเองที่แอลยิ้มให้ รอยบุ๋มจุดหนึ่งปรากฏบนแก้มที่เริ่มเป็นสีระเรื่อไม่ต่างจากปลายจมูกเพราะอากาศเย็น ผมไม่แน่ใจว่าเขาอยากพบกันเพื่อประเมินความประทับใจในตัวผมหรือว่าต้องการแค่ใครสักคนให้กวนเล่น เพราะอย่างไรเสียนี่คือคนที่แฮชรู้สึกเป็นมิตรด้วย แต่ก่อนที่ผมจะทันลงความเห็น เขาก็กลับไปเป็นชายหนุ่มกับแอปเปิ้ลในภาพวาดลึกลับอีกครั้ง เราเดินออกจากสวนสาธารณะด้วยกันเพื่อไปดูบ้านของเขา เป็นบ้านสองชั้นที่ตั้งอยู่ระหว่างอาคารสำนักพิมพ์เล็ก ๆ กับบ้านเดี่ยวที่ดูโก้หรูอีกหลัง ผนังอิฐด้านนอกมีเถาตีนตุ๊กแกเลื้อยปกคลุมให้ความรู้สึกเก่าแก่ ทั้งที่ภายในนั้นดูมีความเป็นสมัยใหม่ สะอาดสะอ้าน และสว่างไสวเกินคำว่าพออยู่อาศัยได้ไปมากโข ผมผู้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งเดาว่านี่คงเป็นบ้านแบบที่มนุษย์เรียกกันจริง ๆ และน่าจะอยู่สบายกว่าห้องเช่าคับแคบบนอาคารชุดหลายแห่งที่ผมเคยเข้าออก เมื่อแอลเปิดประตูที่นำไปสู่สนามหญ้าหลังบ้าน สุนัขขนสีทองตัวใหญ่ก็รีบวิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาเจ้าของบ้านทันที รอสโซ รอสโซ เด็กดี เขาใช้โทนเสียงแบบที่ผมเคยได้ยินคนพูดกับเด็กเล็ก รอสโซ พี่คนนี้จะมาอยู่ด้วยนะ พอสิ้นคำ หมาตัวนั้นก็ถลามาดมกางเกงของผมและกระดิกหางอย่างเอาเป็นเอาตาย


    ด้วยเหตุนี้เราจึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน ผมพออ่านสถานการณ์ออกตั้งแต่สัปดาห์แรกว่ามิวายผมกับเขาคงลงเอยด้วยการเป็นเพียงผู้ให้เช่าและผู้อาศัย เราสองคนเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตัวเองเหมือนมวลหมู่ตุ๊กตาไขลานที่เฉียดไปมาโดยไม่ชนกัน แอลตื่นเช้ากว่าผม เขาจะออกมาชงกาแฟดำแล้วแบ่งที่เหลือไว้ในกาให้ผมก่อนเข้าไปขลุกอยู่ในห้องทำงาน บางวันเขาก็ทำอาหารเช้าง่าย ๆ อย่างแพนเค้กหรือไข่ดาวกับขนมปังปิ้งเผื่อไว้ ผมจะกล่าวขอบคุณเขาหากบังเอิญเดินสวนกันในตอนกลางวัน แต่ส่วนใหญ่กว่าจะได้เห็นหน้ากันก็หลังจากเขาพารอสโซไปเดินเล่นยามเย็นเสร็จแล้ว ถ้าวันไหนเขาซื้ออาหารเย็นมาเผื่อ เราก็จะได้นั่งทานด้วยกันโดยมีเสียงข่าวภาคค่ำจากโทรทัศน์คลอ ผมไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าแอลไม่เป็นมิตรหรือไร้มนุษยสัมพันธ์ ในเมื่อเขาก็สามารถเริ่มบทสนทนา หาประเด็นมาโต้ตอบ หรือแม้แต่หัวเราะไปกับเรื่องเปิ่น ๆ ของผมได้ เพียงแต่เขากำลังพยายามรักษาระยะห่างที่เหมาะสม ไม่ได้มีท่าทีอยากสนิทสนมอะไรมากกว่านั้น แฮชทำท่าไม่เชื่อเมื่อผมเล่าให้ฟัง แต่ว่าผมไม่ได้โกรธเคืองสภาพที่เป็นอยู่แต่อย่างใด ทางแก้อาการวิงเวียนเนื่องจากพลังงานลดต่ำคือต้องออกนอกบ้านไปเจอผู้คนและค้างคืนที่อื่นบ้างก็เท่านั้น


    หลังจากผมหายตัวไปเดตในตอนกลางวันและใช้เวลายามค่ำคืนในอ้อมกอดของมนุษย์ผู้เปลี่ยวเหงาคนแล้วคนเล่า ระหว่างทางกลับบ้านตอนสาย ๆ ของวันหนึ่ง ผมก็บังเอิญพบแอลผู้มีแก้วกาแฟร้อนในมือ ผ่านไปอึดใจหนึ่งถึงได้รู้ตัวว่านั่นน่าจะเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่ได้พบหน้าอีกฝ่าย หวัดดี ผมทัก รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวทั้งที่ไม่ได้ทำความผิด เผลอคิดไปแวบหนึ่งว่านัยน์ตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ของเขาอาจมองทะลุเปลือกนอกและเห็นบาปในตัวผม ราคะและความหลงตัวเองอันเป็นธรรมชาติของเรา แต่แอลแค่ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฮู้ดตัวโคร่งที่สวมอยู่แล้วยื่นแท่งพลาสติกเล็ก ๆ ให้ — ลิปมันกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ที่ยังไม่ได้เปิดใช้  ปากคุณแห้ง เขาบอกเรียบ ๆ ทั้งที่ความจริงริมฝีปากของผมแตกเยินเพราะอย่างอื่นนอกเหนือจากสภาพอากาศ ความปรารถนาดีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยกับการแต่งกายของเขาทำให้ผมหวนคิดถึงซานตาคลอส จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ราวกับมีคนดีดนิ้วให้คิว วันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟ 


    "กำลังคิดว่าจะโทรหาคุณดีไหม" แอลบอกผมในคืนนั้น ระหว่างจุดเทียนบนเค้กครีมซึ่งเขาออกไปซื้อมาเมื่อเย็นเพื่อฉลองเทศกาล หลังจากที่เราฟาดซุปกระดูกอ่อนฝีมือผมกับไก่ทอดรสเผ็ดกันเต็มคราบแล้ว "ตอนแรกสงสัยว่าคุณจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด แต่ก็ยังเห็นร่องรอยว่าคุณมาที่นี่ก่อนจะรีบออกไปอีก ทั้งเสียงรอสโซเห่าแป๊บหนึ่ง แล้วก็กระดาษโน้ตที่บอกว่าไปข้างนอก"


    "ผมไม่มีบ้านเกิดให้กลับหรอกครับ" ผมตอบตามความจริง "พอดีมีธุระที่ต้องไปจัดการบ่อย ๆ น่ะ"


    แสงจากเปลวเทียบวูบไหวบนใบหน้าของแอล ไม่ได้ทำให้เขาดูน่ากลัวหรือลึกลับ แต่กลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดเหมือนตอนหยิบยื่นลิปมันให้กับผม เราเป่าเทียนพร้อมกันราวกับเด็กเล่นบทบาทสมมติโดยที่ยังไม่รู้แน่ว่าใครกำลังรับบทอะไร ก่อนหน้านี้เท้าของเราสองคนยืนหมิ่นเหม่อยู่บนบาร์แคบ ๆ ระหว่างเขตแดนของความรักใคร่กับความห่างเหิน ไม่ยอมให้ตัวเองร่วงหล่นไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งอย่างเด็ดขาด แต่จู่ ๆ แอลก็เริ่มขยับและทำให้สมดุลเริ่มเปลี่ยนไปก่อนที่ผมจะทันรู้ตัว ขอโทษนะ เขาเอ่ย ผมไม่ได้อยากจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวของคุณ วิธีที่เขาพูดทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนจับได้ จนสองมือที่ถือจานรอเขาตัดชิ้นเค้กให้เกิดเกร็งเครียดขึ้นมา ถ้าคุณมีปัญหาอะไรให้ช่วยก็ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ไม่รู้สิ ผมไม่ได้ทึกทักว่าคุณทำอะไรไม่ดีนะ แค่ไม่อยากเห็นคุณบาดเจ็บแบบนี้อีกเฉย ๆ


    บาดเจ็บหรือ ผมทวนคำ แต่สีหน้าของแอลบ่งบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น เขาถอนหายใจก่อนจะชี้นิ้วไปที่ปาก ตามมาด้วยซอกคอ ไหล่ และต้นแขนของตัวเองเพื่อให้ผมรู้ความนัย — ผมเข้าใจแล้ว เหตุการณ์เมื่อบ่ายที่เขาบังเอิญเข้าห้องน้ำมาเจอผมเปลือยท่อนบนระหว่างเปลี่ยนเสื้อคงจุดประกายจินตนาการของเขาเป็นแน่แท้ รอยช้ำสีน้ำเงินม่วงกับจุดห้อเลือดสดใหม่บนผิวซีดเหล่านั้นอาจจะน่ากลัวเกินไปเพราะผมไม่เคยใส่ใจมันเลย ผมสงสัยเหลือเกินว่าตลอดเวลาสั้น ๆ นี้แอลตีความอาชีพอิสระของผมว่าอะไร นักเลงหรือ เจ้าหนี้หรือว่าลูกหนี้ หรือจะเป็นนักฆ่ารับจ้าง ความไร้เดียงสาและแน่นอนว่าปรารถนาดีเช่นเคยทำให้ผมยิ้ม จากนั้นก็หัวเราะจนต้องกุมท้อง ขณะที่แอลผู้น่าสงสารทำหน้าเหลอหลาเพราะพฤติกรรมเสียสติอย่างกะทันหันของผม แก้มของเขาเป็นสีจัดพอ ๆ กับสตรอว์เบอร์รี่ในเค้กเมื่อผมอธิบายที่มาของร่องรอยที่กระจัดกระจายบนร่างกาย และยิ่งเข้มขึ้นอีกเมื่อผมบอกว่าไม่เคยพบใครเป็นห่วงเป็นใยสวัสดิภาพของผมถึงเพียงนี้มาก่อน เขาทำเป็นไม่สนใจคำชมกลาย ๆ นั่นและตักเค้กเข้าปากคำโต ความอบอุ่นที่เคยสัมผัสยามกินขนมร้อน ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นจัดกลับมาอีกครั้ง ผมรู้สึกได้เมื่อมันแผ่จากปลายนิ้วไปทั่วร่างกาย ความหอมหวานนั้นทำให้ผมอิ่มเอมทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องของหวานหรือสัมผัสแอลแม้แต่ปลายนิ้ว


    น่าจะเป็นตอนนั้นที่เท้าของเราแตะพื้นบนเขตแดนเดียวกัน ผมไม่ได้ออกจากบ้านไปเตร็ดเตร่ที่ไหนอีก ส่วนแอลก็ไม่ได้ขลุกอยู่ในห้องทำงานทั้งวันในสัปดาห์สุดท้ายของปี เขานอนเหยียดยาวบนโซฟาในห้องนั่งเล่นเหมือนสัตว์จำพวกแมวตัวใหญ่ มือข้างหนึ่งห้อยลงมาเกาหูรอสโซที่นอนหมอบอยู่ใกล้ ๆ ผมยกเครื่องเล่นแผ่นเสียงอันเป็นหนึ่งในสมบัติไม่กี่ชิ้นออกมาเปิดอัลบั้มโปรดให้พวกเขาฟัง จากนั้นเสียงเปียโน แซ็กโซโฟน ทรัมเป็ต และกลองก็บรรเลงเรื่อยไปทั้งบ่ายจนเราเผลองีบหลับ พอตกเย็นแอลจะสั่งอาหารให้มาส่งถึงบ้านเยี่ยงคนเกียจคร้าน ก่อนจบวันด้วยเบียร์หรือไวน์ที่มีมากเกินจะดื่มคนเดียวหมด พอผมเปรยขึ้นมาว่าดีเหลือเกินที่ไม่ต้องทำงานในวันสิ้นปี แอลก็ลุกขึ้นเหมือนนึกอะไรออกและกลับมาพร้อมกล้องถ่ายรูป เขาจัดแจงให้ผมนั่งอาบแดดอ่อน ๆ กลางสนามหลังบ้าน ก่อนจะลั่นชัตเตอร์ทันตอนที่สุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ถลามาเลียหน้าผมพอดี เสียงหัวเราะร่าของเขาไม่ส่อเค้าลางของความตายที่คอยท่าอยู่ที่ไหนสักแห่งเหมือนด้านมืดของดวงจันทร์สุกสกาว


    เรากล่าว "สวัสดีปีใหม่" และ "ปีนี้ก็ฝากตัวด้วยนะครับ" ให้แก่กันและกันใต้ประกายพลุที่พร่างพราวราวกับฝนตกลงมาเป็นดาว ณ ช่วงเวลาที่เหมาะเจาะนั้น หากปล่อยตัวปล่อยใจมากกว่านี้ หากกล้าหาญชาญชัยมากกว่านี้ ผมอาจเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้และให้โอกาสแอลจูบผมก่อน จากนั้นก็แสร้งทำเป็นลืมชะตากรรมมืดหม่นข้างหน้าและเกาะเกี่ยวชีวิตของมนุษย์ผู้นี้ไว้ให้สมกับที่เป็นปีศาจ ทว่าฉากวาบหวามนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผมไม่ได้ละโมบขนาดนั้น เราชนกระป๋องเบียร์กันเบา ๆ ก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอนเมื่อดื่มจนหมด ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าแอลรู้สึกอย่างไรในเมื่อผมมีความสุขและอิ่มเอมจากการวนเวียนอยู่ใกล้เขาทั้งวัน หากเขาพึงใจเท่านั้นก็มากเกินพอ เราทั้งคู่พยายามผ่านหน้าหนาวแรกและสุดท้ายด้วยกันอย่างราบรื่นเยี่ยงชายโสดรักสันโดษสองคน ระหว่างนั้นเขายอมให้ผมเข้าไปในห้องมืดและเห็นฟิล์มม้วนนั้นกลายเป็นรูปเป็นร่างใต้แสงไฟเซฟไลท์สลัว ผมกับรอสโซบนภาพฟิล์มขาวดำให้ความรู้สึกว่าห้วงเวลาที่ถูกบันทึกไว้เป็นส่วนหนึ่งของอดีตอันไกลโพ้น ไม่มีวันหวนกลับมาอีก คุณสวยงามมากเลยนะ เจย์ แอลกล่าว ไม่แน่ใจว่าในฐานะศิลปินหรือชายหนุ่มคนหนึ่ง แม้แต่ผมก็จำตัวเองในรูปที่จ้องกลับมาแทบไม่ได้ 


    เมื่อหิมะเริ่มละลายและผมเริ่มนึกถึงโอกาสที่แอลจะต้องตายมากขึ้นทุกที เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากแอลออกไปข้างนอกทั้งวันและยังไม่กลับมาแม้เลยเวลามื้อเย็น ผมได้ยินเสียงดังจากชั้นล่างตอนใกล้เคลิ้มหลับ เดาว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เพิ่งเข้ามาเพราะว่าสุนัขของเขาไม่เห่า แต่กระนั้นจิตใจที่อ่อนไหวเกินจะมีประโยชน์ของผมก็สั่งให้ขาสองข้างก้าวลงมาดูสถานการณ์สักหน่อย เสียงเก้าอี้เลื่อนครืดคราดดังขึ้นแล้วหยุด จากนั้นก็ดังอีก หากแอลไม่นึกครึ้มใจจัดเฟอร์นิเจอร์ในเวลานี้ เขาก็อาจจะคลำทางหรือเสียการทรงตัวเพราะเหตุบางอย่างก็เป็นได้ สิ่งที่เรียกว่าความเป็นห่วงเป็นใยนั้นเกาะติดเหนียวแน่นเหมือนหมากฝรั่งใต้พื้นรองเท้า ผมก็เพิ่งรู้ แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือสิ่งที่เรียกว่าความริษยา มันจะตามหลอกหลอนเหมือนตอนพบว่าหมากฝรั่งชิ้นที่ควรจะเป็นของเราตกอยู่ในมือคนอื่น ผมได้สัมผัสอารมณ์น่าเกลียดนั้นหลังจากเปิดสวิตช์ไฟแล้วเห็นแอลกอดจูบกับผู้ชายอีกคน ผมทำพลาดแล้ว ทว่าแอลกลับดูเจ็บปวดมากกว่าเมื่อเจอหน้าผม แขกของเขาดูหัวเสียและสบถหยาบคายหลังจากถูกขอให้กลับไปอย่างสุภาพพร้อมคำขอโทษขอโพย ราวกับว่านี่เป็นฉากในละครน้ำเน่าที่ตัวเอกโดนจับได้ว่านอกใจ แต่ใครนอกใจใครกันเล่า แอลอาจจะแค่อับอาย เขาไม่เคยเปิดเผยรสนิยมทางเพศให้รู้ตรง ๆ และผมก็ไม่เคยถาม


    "ขอโทษนะ เรื่องวันนั้น" เขาเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเองหลังจากหลบหน้าไปสองสามวัน

    "ไม่เห็นมีอะไรต้องขอโทษเลย" ผมตอบ "ผมต่างหากที่อยู่ผิดที่ผิดทาง"

    "ไม่หรอก" 

    "ที่จริงคุณไม่ต้องบอกให้เขากลับไปก็ได้"

    "ทำไม่ได้หรอก"

    "ทำไมล่ะ"


    แอลซบหน้าลงบนฝ่ามือ ใช้ปลายนิ้วคลึงหน้าผากไปมา


    "ช่างเถอะ" 

    "อือ"

    "เห็นแบบนั้นแล้ว คุณรังเกียจผมหรือเปล่า"

    “ทำไม กลัวว่าผมจะระแวง หาว่าคุณคิดไม่ซื่อด้วยงั้นหรือ"

    "ผู้ชายหลายคนคิดแบบนั้น"

    "ผมไม่ได้ใจแคบกับหลงตัวเองขนาดนั้นสักหน่อย"

    "ขอโทษครับ"

    "ถึงคุณชอบผมก็ไม่เป็นไร"

    "ผมไม่ควร" แอลหันหน้าไปทางอื่น “ไม่ดีหรอก” 

    "ก็อาจจะ” ผมจ้องใบหน้าด้านข้างที่เหมือนรูปสลักของเขา “แต่ผมก็ยังชอบคุณอยู่ดี"


    ไม่ต้องคิดถึงข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่เราสองคนปักหลักอย่างเหนียวแน่นอีกต่อไป ในเมื่อเราเต็มใจกระโจนลงหลุมนั่น หลุมที่มนุษย์ทั่วไปอาจเรียกว่าหลุมรัก แต่สำหรับผมคือหลุมศพที่มีแผ่นหินเย็นเยียบปิดทับ แม้จูบของแอลจะมอบชีวิตที่ผมไม่เคยสัมผัสจากหญิงชายคนใดมาก่อนราวกับเป็นจูบศักดิ์สิทธิ์ในเทพนิยาย แต่มันไม่อาจถอนคำสาปที่เป็นตัวตนของผมได้ คุณสวยงามเหลือเกิน แอลกล่าวซ้ำไปซ้ำมาดังบทสวด ระหว่างที่เขาสักการะทุกส่วนตั้งแต่หน้าผากจรดปลายเท้าของผม ทำให้ผมเฉียดความตายอันสุขสมแล้วปลุกให้ฟื้นตื่นขึ้นมาใหม่ แก้มคุณเหมือนลูกพีช กลุ่มไฝกับขี้แมลงวันตรงนั้นเหมือนกลุ่มดาว ผมคุณนุ่มและหอมเหมือนกุหลาบอังกฤษ เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามดังว่าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ความฉาบฉวยชั่วครู่หรือความหมกมุ่นหน้ามืดตามัว ผมถามเขาว่าทำไมถึงชอบผม เพราะเขาตกหลุมรักถ้อยคำอุปมาแสนโรแมนติกนั่นหรือเปล่า แอลส่ายหน้า ดึงมือผมไปทาบตรงอก "เปล่า" เขาตอบ "เพราะคุณทำให้ผมรู้สึกตรงนี้"


    คืนนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังร้องไห้จนกระทั่งนิ้วของเขาปาดน้ำตาบนแก้มให้ จากนั้นก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าตนเองมีความสามารถในการทำเช่นนั้น เจ็บตรงไหนหรือเปล่า แอลถาม เสี้ยวความกลัวพาดผ่านใบหน้าชื้นเหงื่อของเขาเหมือนเมฆเคลื่อนผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ผมส่ายหน้า จนคำพูดและผุดลุกขึ้นจูบเขาราวกับเป็นโอกาสสุดท้าย เหตุผลที่ผมร้องไห้อาจเป็นเพราะคำตอบของเราสองคนไม่ต่างกัน เพราะคุณทำให้ผมรู้สึกตรงนี้



    /



    spring



    ต้นไม้ในสวนสาธารณะแห่งนั้นเริ่มผลิใบและออกดอกในเวลาไม่นาน น้ำในบึงเองก็กลับมากระเพื่อมอีกครั้งเมื่อเด็ก ๆ ขว้างหินใส่ สีสันอื่นที่ผมยังไม่เคยเห็นค่อย ๆ เผยออกมาทีละนิดเหมือนภาพวาดนี้ซ่อนกลลึกลับเอาไว้และไม่มีใครเคยสังเกตเห็นมาก่อน เช้าวันนั้นผมรั้งสายจูงรอสโซไม่ให้ไล่กวดกระรอกจนเตลิด ก่อนจะพบว่ามันอยากวิ่งเข้าไปทักทายอดีตเพื่อนร่วมบ้านต่างหาก แฮชเดินล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ตตรงมาทางเรา คราวนี้เขาค่อยแต่งตัวเหมือนยมทูตที่กำลังทำงานหน่อย เหมือนว่าเราไม่ได้พบกันมาชาติเศษแล้ว


    "ผมไม่รู้ว่านี่เป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับพี่" เด็กหนุ่มเอ่ย ไม่ยอมสบตาผม เอาแต่เกาแผงคอของสุนัขอย่างเอาจริงเอาจัง "แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องผิดพลาด"


    "อะไรผิดพลาด"


    "อายุขัยของเขา" แฮชตอบ “แอลจะไม่ตาย”


    แอลจะไม่ตาย อย่างน้อยก็ไม่ตายเพราะถูกกำหนดไว้ในตอนแรก ชื่อของเขาเลือนหายไปจากสมุดบัญชีของยมทูต ดีเหลือเกิน ผมบอกแฮช แต่ข่าวดีเช่นนั้นทำให้ผมชิงชังตัวเองนักที่เพิ่งรู้จักกลัวขึ้นมา หากทุกอย่างยังเป็นไปตามเดิม ผมก็อาจหลบอยู่หลังความเห็นแก่ตัวไปได้จนวาระสุดท้าย อาจจะทำเหมือนปีศาจตนอื่น ๆ ที่ไม่ยอมรับบาปในการพรากชีวิตคนรักไปอย่างเด็ดขาด อ้างว่าไม่มีทางเลือก ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในกำมือของสิ่งที่อุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นโชคชะตา จากนั้นก็หวนคืนสู่แบบแผนเดิม ๆ กับผู้คนใหม่ ๆ หลังอาลัยอาวรณ์เสร็จ — แอลจะไม่ตาย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อาจจะตาย ผมจะอธิบายให้เขาฟังได้อย่างไร เขาย่อมไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ผมถึงบอกว่าจะย้ายออกทันที ผมทำอะไรผิดไปงั้นหรือ เขาถาม มองดูผมเก็บเสื้อผ้าและของใช้ไม่กี่ชิ้นลงกระเป๋า เกิดอะไรขึ้น น้ำเสียงของแอลเหมือนจะร้องไห้ ผมไม่อยากเหลือความหวังให้เขา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากป้ายสีความทรงจำทั้งหมดว่าเป็นเรื่องหลอกลวง เมื่อเขาถามว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ของเราหรือเปล่า ผมจึงไม่ได้ตอบอะไร 


    "คุณเก็บเครื่องเล่นแผ่นเสียงไว้เถอะ ผมให้" คือสิ่งที่ผมบอกเขา ส่วนคำขอสุดท้ายของแอลคือการไปส่งผมยังอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ที่ตอนนี้แฮชอาศัยอยู่ ผมบอกลารอสโซก่อนขึ้นรถ มันคงยังไม่รู้ว่าผมจะไม่กลับบ้านอีกแล้ว



    /



    never cursed



    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อาจจะไม่กี่วินาทีหรือตลอดกาลก็เป็นได้ ผมพยายามลืมตาขึ้น รู้สึกถึงของเหลวบางอย่างที่ไหลทะลักลงมาจากหน้าผากจนภาพที่เห็นรางเลือน กลิ่นและรสคาวสนิมในปากบ่งบอกว่าเป็นเลือด แต่เลือดไม่ได้ย้อมทุกสิ่งให้เป็นสีเดียวกับมันอย่างที่เซฟไลท์ในห้องมืดของแอลทำ ผมพยายามกะพริบตาก่อนจะพบว่ามันช่างยากยิ่ง แขนขาของผมแทบจะไร้ความรู้สึก แต่ความเจ็บปวดยามหายใจเข้าแต่ละครั้งชัดเจนกว่าอะไรทั้งหมด ท่ามกลางเสียงมากมายที่เกิดขึ้นรอบตัว ทว่าฟังดูเหมือนมาจากที่ไกล ๆ ผมได้ยินใครสักคนเรียกชื่อ ชื่อที่ไม่ใช่ชื่อจริงของผมด้วยซ้ำ แต่เรื่องนั้นมันจะสำคัญอะไร แอลพยายามยื่นมือมาหาผมอย่างยากลำบาก ระยะห่างระหว่างเราเป็นไปไม่ได้เลย


    เจย์ 


    ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นท้องฟ้า กลีบดอกไม้ที่ปลิวคว้างในอากาศ และใบหน้าโชกเลือดของแอลก่อนที่เขาจะโดนเจ้าหน้าที่กู้ชีพจับตัวให้เอนลงบนเปล เขายังไม่ตาย ไม่มีทีท่าว่าจะตาย ยังคงร้องเรียกผมจนสุดเสียงและดิ้นรนโดยไม่สนความเจ็บปวด ผมต่างหาก ผมกำลังจะตาย นี่เป็นคำตอบที่ไม่เคยอยู่ในตัวเลือกมาก่อน แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เมื่อหลับตาลง ผมเห็นแอปเปิ้ลผลนั้นที่เขาเคยถือ เสื้อฮู้ดที่ทำให้เขาเหมือนซานตาคลอส ลิปมันแท่งจิ๋วที่เขาซื้อมาแต่ไม่ได้ใช้ สตรอว์เบอร์รี่ที่เขาโปรดปรานในครีมสีขาว ไฟในห้องมืดที่เขาใช้ล้างรูปเพื่อยืนยันว่าผมเคยมีอยู่จริง และสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์วัยห้าขวบที่ชื่อรอสโซ เมื่อสีสันอื่น ๆ สูญหายไปจากสำนึกอย่างแช่มช้า สิ่งเหล่านี้กลับแจ่มชัดราวกับระบายด้วยสีนั้นเพียงสีเดียว พวกมันช่างมีชีวิตชีวาเหลือเกิน












    author’s note: เคยพับลิชในโปรเจกต์ color palettes of johnjae ใน readawrite มาก่อน ในชื่อ never cursed 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
xxhhhllll (@nnchaab)
เป็น quite short story ที่ไม่ short เลยค่ะ สารภาพว่างานของคุณกิ๊บทำให้เราได้มาเปิดโลกจอนแจเลย (รู้จักงานคุณกิ๊บจากเอมิลี่ล่ะค่ะ) แต่สำหรับเรื่องนี้ อ่านโดยที่ไม่ได้คิดว่าใครเป็นใคร จินตนาการถึงตัวละครเอาเองเลยรู้สึกถึงไวบ์ของนายหัวฟักทองนิดหน่อย แต่อยากบอกว่าชอบมากค่ะ ❤

เราไม่คิดว่าเรื่องจะดำเนินมาในรูปแบบนี้และจะจบลงเช่นนี้ด้วย ไม่รู้จะบอกว่าอะไรนอกจากตอนอ่านจบแล้วนึกได้แค่คำเดียวเลยว่า เจ๋งว่ะ สำนวนสวยมากเลยด้วยค่ะ โดยเฉพาะเลิฟซีนที่อ่านแล้วรู้สึกความสุขสมปนขมขื่นของเจย์ เลือกใช้คำได้ดีมากจนเราวนอ่านซ้ำ ๆ และจะร้องไห้แทนเจย์แล้วค่ะ 5555

เป็นกำลังใจให้คุณกิ๊บเขียนงานต่อไปเรื่อย ๆ นะคะ ในฐานะคนอ่านจะพยายามหาเวลามาอ่านและเขียนคอมเมนต์ให้กำลังใจค่ะ! ในช่วงเวลาเช่นนี้ หวังว่าคุณกิ๊บจะสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจนะคะ :)
a week before valentine (@wirunyupha.chia)
หนูหวาดหวั่นอยู่ระหว่างบรรทัดนานมาก เพราะกลัวว่าจะกวาดตาเร็วไปแล้วข้ามซีนสำคัญอะไรไปหรือเปล่า ย่อหน้ายาว ๆ ของพี่กิ๊บเล่นหนูอีกแล้ว อ่านแบบตั้งใจมากจริง ๆ 5555 (และหนูชอบที่มันยาวนะคะ! เพราะหนูเขียนยาวแบบนี้ไม่ได้แน่นอน พวกชอบตัดซีน (...))

คือ ๆๆๆ ตอนอ่านระแวงมาก กลัวแอลตาย อ่านไปได้ถึงตอนวันปีใหม่แล้วต้องแวบออกไปทวีตก่อน กลัวแอลตายมาก เปิดเรื่องมาคือแอลตายแน่เลย ทุกย่อหน้าเหมือนมีป้ายบอกว่าแอลจะตาย แอลตายแน่ กรีีด เครียด (...) แต่พอมาถึงที่แฮชมาเฉลยก็แบบ เอ๊ะ อ้าว เฮ้ย หรือมันอาจจะดีขึ้น

จนอ่านจบ

...

55555555555555 หนูไม่เคยคิดถึงชอยส์นี้มาก่อนเลย!! 555555 แอลไม่ตายจริง ๆ แต่ 555555 แต่เจย์ตาย 5555555 T_T ถึงจะเป็นความตายที่ภาพสุดท้ายสวยงาม แต่ตอนแรกคิดว่ารอดคู่ ฮือ ๆๆๆๆ หนู /ล้ม

btw งานพี่กิ๊บเหมาะกับ minimore จริง ๆ ค่ะ ลงในนี้แล้วสวยมาก ถึงจะต้องเพ่งนิดนึงก็ตาม แต่สวย เห้อ