เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
“เป็น-เรื่อง-เป็น-ราว”MidnightMessageBox
ท่าอากาศยาน
  • หลังจากวันก่อน 

    วันที่ “มีเมฆเป็นส่วนมาก” ผ่านพ้นไป

     

    เชื่อหรือไม่ว่าผมนอนไม่หลับ ถึงต่อให้เผลอหลับ ก็หลับไม่เต็มตื่น น่าสมเพชตัวเองสิ้นดี แม้ว่าวันก่อนผมเองก็รู้ตัวดี ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ยิ่งทำให้ใจผม ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงเป็นราตรีที่ยากเกินกว่าจะนิทรา


    ชายวัยเบญจเพสคนนี้ เริ่มมีอาการปวดหลังนิดหน่อย จากการนั่งฟังเพลงในเพลย์ลิสท์ที่เราบังเอิญร่วมกันสร้างสรรค์อย่างมิได้ตั้งใจ อยู่ทั้งคืน 




    เวลากำลังนับถอยหลัง

    เช้าแล้วสินะ ผมมีเวลาเตรียมตัวอยู่นิดหน่อย…ว่าแต่ผมจะแต่งกายแบบไหนดีนะ ทำไมต้องคิดเยอะกับเรื่องแบบนี้ด้วย ยิ่งกับคนที่ชอบแต่งตัวคนหนึ่ง 


    แต่ในทุกเช้า เค้าคนนี้จะขี้เกียจคิดแล้วปล่อยไปตามเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้เสมอ “หยิบๆไปเถอะ เดี๋ยวก็แมทช์กันเอง” แต่ในเช้าวันนี้ผมยืนมองข้าวของในตู้เสื้อผ้าอย่างน่าใจหาย จะแต่งอะไรดี ไม่เข้าใจจริงๆจะทำเรื่องง่ายให้เป็นยากอะไรขนาดนั้น ก็แค่แต่งตัว


    สุดท้าย ผมก็เลือกชุดเก่งที่คุณเคยเอ่ยปากชมเมื่อตอนเรามีโอกาศได้ออกไปดื่มด้วยกัน มันเป็นการผสมผสานยุคแปดศูนย์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความร่วมสมัย เสื้อเชิ้ตมีลวดลาย กางเกงขาม้าตัวโปรด และสูทตัวเก่ง 


    แม้คืนนั้นเธอจะประหลาดใจที่ผมกล้าใส่ในวันอากาศร้อนแทบขาดใจแต่ 

    “ชุดนี้มันเหมาะกับคุณและดูดีมาก”


    ให้ตายสิ!!

    ผมกำลังจะไปทำงานสายแล้ว เดี๋ยวไม่ทันเวลา




    แปดโมงเช้าวันอังคาร

    แปลกมากวันนี้ในย่านเมืองเก่า ช่างเงียบเหงา ท้องถนนที่มีรถแล่นผ่านน้อยผิดปกติ นักท่องเที่ยวที่ควรจะตื่นนอน แล้วออกตระเวนสัญจร ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว แม้แต่กลุ่มมนุษย์ผู้รักการดื่มกาแฟ ก็เงียบหาย มันเกิดอะไรขึ้นกัน


    แต่อีกมุมสำหรับเช้าวันนี้ ก็คงไม่แย่กับผมเองซักเท่าไหร่ แม้ว่าผมจะแต่งกาย ด้วยชุดตัวเก่ง แต่สมองก็ยังไม่สามารถยับยั้งความประหม่าในใจลงได้ ผมวุ่นวายกับการตรวจสอบความสะอาด และคุณภาพกาแฟ ด้วยความถี่ที่ผิดสังเกต 


    การยืนสูบบุหรี่อย่างเลื่อนลอยเฝ้ามองท้องถนนที่ไร้ซึ่งสีสัน 

    จริงๆแล้วผมอาจจะรู้ตัวอยู่ทุกวินาที เพราะสำหรับวันนี้ เวลาไม่ได้กำลังเดิน แต่กำลังนับถอยหลังลง จวบจนถึงเวลาอันสมควร


    จุดบุหรี่.




    สิบโมงแล้ว เร็วเหมือนโกหก

    ผมที่เพิ่งรู้ตัว หลังจากชงกาแฟแก้วสุดท้าย ณ ตอนนั้นเสร็จ ช่างผ่านไปเร็ว จนแทบตั้งตัวไม่ทัน


    แย่แล้วทำยังไงดี นี่ก็จวนจะถึงเวลาอยู่แล้ว หัวใจผมเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ 

    มันเร็วเสียยิ่งกว่ามนุษย์ที่รับคาเฟอีนเกินขนาด 


    ช่างน่าสมเพช ที่มนุษย์คนหนึ่งจะไม่สามารถควบคุม หรือจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ถึงขั้นเกือบจะหลุดจากการควบคุม


    ผมดื่มวิสกี้ที่เหลือจากงานประชุมครั้งก่อน เพื่อประคับประคองสติ ไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้

    ได้เวลาเวลาแล้วสินะ ผมรีบชงคาราเมล ลาเต้เย็น แก้วโปรดของเธอ แล้วคว้ากุญแจรถเพื่อมุ่งสู่


    .

    .


    “ท่าอากาศยาน”




    ผมยืนอยู่ หน้าจุดเช็คอิน เพื่อให้แน่ใจ ว่าระหว่างเรา ใครมาถึงก่อนกัน 


    แล้วก็เป็นผมคนแรก น่าโล่งใจ คุณบอกเสมอว่าตั้งแต่มาประเทศไทย สัมภาระคุณก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะฉะนั้นหน้าที่สำคัญของผมวันนี้…คือแบกสัมภาระของคุณยังไง 


    ระหว่างนี้ ทำอะไรดี 

    ผมออกไปสูบบุหรี่ตรงข้ามจุดรับส่งผู้โดยสาร เพื่อจะได้เห็นทันที เมื่อคุณมาถึง 


    สงสัยวิสกี้สองแก้ว คงจะเริ่มหมดฤทธิ์  กับผมที่ยืนคาบบุหรี่จนตัวสั่น เมื่อเธอลงจากรถ ทำไมวันนี้เธอสวยกว่าปกติ…ให้ตายสิ เธอสวมเสื้อที่ผมมอบให้ในวันที่ “มีเมฆเป็นส่วนมาก” มันทำให้ ดวงใจผม เริ่มสงสัย ว่าควรจะละลาย หรือแหลกสลายอย่างไม่มีชิ้นดี 


    เวลาก็เหลือน้อยลงเต็มที


    “ไปสิ รีบดับบุหรี่แล้วไปหาเธอซะ!”




    “สวัสดียามสาย ผมมาแล้ว…มาเดี๋ยวผมดูแลกสัมภาระคุณเอง”

    ประโยคแรกระหว่างเรา เต็มไปด้วยความเขินอาย กับเวลานับถอยหลังจนถึงโค้งสุดท้าย


    ผมกระทำทุกกระบวนการ ไม่ต่างอะไรจากนักท่องเที่ยวที่รอเดินทาง ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณสบาย จนกว่าเราจะแยกจากกัน


    “ว่าแต่ว่า เมื่อถึงที่หมายแล้ว คุณจะทำอะไร?”

    เราเริ่มสาธยายถึงช่วงเวลา ที่ยังมาไม่ถึง มันดีนะ เพราะเราต่างคงจะมีเวลาติดต่อกันน้อยลง แต่อย่างน้อยๆ เราจะได้รับรู้ระหว่างกันว่า ต่างคน ต่างวางแผนชีวิตยังไงในระยะสั้น 




    เรายืนสนทนา ระหว่างต่อแถวเช็คอิน…จวบจนคุณโหลดสัมภาระ

    เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า มันดีนะ เพราะผมแทบอยากหยุดเวลา ให้เราได้อยู่ด้วยกัน มากกว่านี้ 


    จวบจนปัญหาระหว่างน้ำหนักสัมภาระของคุณ นั้นถูกแก้ไข 

    คุณเปลี่ยนเรื่องว่าคุณจะคิดถึงแมวสีเทาตัวนั้น มากแค่ไหน ว่าแต่ภายในใจ คุณจะหมายถึงผมบ้างรึป่าวนะ 


    “ช่างมัน” อะนี่กาแฟแก้วโปรดคุณ ผมชงสุดฝีมือเลยนะ แต่มันอาจจะจืดลงหน่อยนะ ผมลืมแยกน้ำแข็งให้ “โทษทีนะคุณ”


    เช็คอินเสร็จแล้ว เราไปข้างบนกันเถอะ




    พวกเราเดินขึ้นบันไดเลื่อน เพื่อนรอเวลาเที่ยวบิน 

    เหมือนคุณจะผิดแผนนะ คุณบอกลาเพื่อนคุณก่อนออกจากที่พักเรียบร้อยแล้วเหลือแค่ผม


    หมายความว่าท่าอากาศยานตอนนี้ มีแค่สองเรา

    มันยิ่งทำผมประหม่าเข้าไปใหญ่ มันไม่ควรต้องเป็นแบบนี้นะ


    ลึกๆแล้วผมอยากชวนคุณออกไปสูบบุหรี่นะ แต่เกรงว่าคุณคงไม่โอเคแน่ๆ ที่จะต้องมีกลิ่นควันติดตัว ระหว่างเดินทางข้ามประเทศ


    “นั่น! ตรงนั้นมีที่ว่าง”




    ( สิบนาทีสุดท้าย )


    เรานั่งคุยกัน

    ถึงเรื่องราวความหลัง และอนาคตระหว่างบุคคล หลังจากนี้ ไม่แน่บางที สิ้นปีคุณจะแวะมาหา ถ้าไม่ผิดแผน 


    … บางครั้งผมก็แอบคิดนะ หรือว่าถึงเวลาแล้ว ที่คนชายหนุ่มบ้างานท่านหนึ่ง จะต้องขอลาพักร้อน แล้วบินลัดฟ้า สู่แดนโสมใต้ มันคงจะดีนะถ้าหากได้ตระเวนชิมกาแฟ ในประเทศที่เป็นกระแส แถมอาจจะได้ คลายความคิดถึง ถึงใครบางคนได้บ้าง 


    ไม่แน่ผมอาจจะลืมกาแฟ แล้วมัวแต่เมาหัวราน้ำ หลงระเลิงไปกับยาสูบที่มีมากมาย แต่ยังไงมันดีกับเราอยู่แล้ว เพราะผมคงไม่ได้ทำกระทำสิ่งเหล่านี้ เพียงลำพัง


    ว่าแต่จริงๆตอนนั้นมันก็ดีนะ ชายหนุ่มผู้หลงรักในการชงเครื่องดื่ม กับหญิงสาวที่มีใจรัก ในมัชชะลาเต้เย็น (ก่อนเธอจะเข้าวงการกาแฟ) 


    ทั้งสองบังเอิญเจอกันในวันอากาศร้อน กับลิสท์เพลงสุดวิจิตรชวนให้คุณหลงไหล จนเราสองได้มีโอกาส ทำความรู้จักกันมากขึ้น




    เรากลับมาคุยกันถึง “ไอ่เทา” ในวันฝนโปรยอีกครั้ง 

    แน่นอนผมจะดูแลมันอย่างดี ในแบบของผม ที่ให้อิสระ ตามสัญชาตญาณของมัน เพราะผมเข้าใจ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “แมว” ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพฤติกรรมส่วนตัวของผมอยู่แล้ว


    “คนเราจำต้องรักบางสิ่ง “อย่างเข้าใจ” ไม่งั้นชีวิตคงจะวุ่นวายกว่าเดิมเป็นแน่แท้”


    ได้เวลาแล้วสินะ

    เราไปที่หน้าประตูกัน ทำไมกันนะ ช่วงเวลาพิเศษ มักจบลงอย่างรวดเร็ว เรื่องของเราวันนี้ ได้กลายเป็นอีกหนึ่ง เครื่องเตือนใจ ว่าทุกวินาที มีค่าเสมอ


    “มาครับ ผมถือกระเป๋าให้”




    พวกเรายืนอยู่หน้าประตู

    ห่างเพียงแค่สองก้าว เธอก็จะได้ ก้าวเดิน และเติบโตต่อไปแล้วนะ


    มาคุณ เรามาถ่ายรูปกัน จะได้มีเครื่องเตือนใจระหว่างกัน ว่าเรารู้จักกัน มีช่วงเวลาดีๆให้กัน ครั้งหนึ่ง แล้วนั่นมันคือ 


    “เรื่องจริง”


    แล้วนั่นเองทำให้ ความรู้สึกลึกๆภายในปะทุเกินขีดจำกัด ผมเข้าไปสวมกอดคุณ อย่างขาดสติ ในหัวผมโล่งไปหมด วินาทีนี้ขอไม่คิดอะไร นอกจากสวมกอดให้แน่หนาพอจะส่งต่อความรู้ทั้งหมดที่มีสู่ใครบางคน อย่างคุณ




    ว่าแต่คุณจะคิดถึงผมบ้างไหม เพื่อนแสนพิเศษ ที่คุณนิยาม หลังจากนี้

    .

    .

    .

    ช่างมัน


    เพราะผมส่งต่อความรู้สึกทั้งหมดที่มี ถึงคุณหมดแล้ว เฉกเช่นเดียวกับวินาทีนี้ เวลาแล้ว ขอให้เดินทางปลอดภัย แล้วโชคดีกับอนาคตอันใกล้ 


    หวังว่าหลังจากนี้เส้นทางของคุณ จะไม่ยากเย็นจนเกินควบคุม หลังจากนี้จะเป็นยังไง


    “ขอให้โชคดีนะคุณ”




    ผมออกมายืนสูบบุหรี่ด้วยความใจหาย

    เวลาของได้หมดลงแล้วจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย 


    ไม่ว่าในตอนนี้จะเป็นอย่างไร แต่ผมมีเวลาเหลือเพียงแปดนาที ที่จะปลดเปลื้องตนเองออกจากความรู้สึกทั้งหมดที่อบอวน อยู่ในใจ 


    ในวันที่มีเมฆเป็นส่วนมาก นำพาซึ่งฟ้าฝนไม่เป็นใจ อาจมีน้ำตา กำลังรอการระบาย ณ ตอนนี้คงถึงเวลา  ที่จะชำระล้างมวลอารมณ์ออกจากหัวใจ เพื่อที่ฉันคนนี้ จะได้เข้าใจ แล้วกลับมายิ้มใหม่ 


    แม้ในใจจะยังคง คิดถึงใคร แต่ผมก็จะคิดถึงเธอ อย่างเข้าใจ ว่าสุดท้าย ณ ตอนนี้ เราจะต้อง แยกจากกัน


    .

    .

    .


    จากท่าอากาศยาน  

    สู่ความเป็นจริง 




      MidnightMessageBox 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in