เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[SR] ทริปโกงความตาย ไปมาเลย์ราคา 0 บาทgeekjuggler
005: ในค่ำคืนที่ไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว
  • มีคนเคยบอกไว้ว่าการออกเดินทางคนเดียวคือความเห็นแก่ตัว
    เพราะเราหวงแหนประสบการณ์ที่เราจะได้พบ อยากเจอแบบเต็มๆ อยากเต็มที่กับมัน ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องห่วงใคร และ ไม่ต้องแบ่งใคร
    อาจจะจริง หรือ อาจจะไม่ ... แต่ที่แน่ๆ ค่ำนั้นที่ Gurney Drive
    ผมอยากมีใครสักคนที่มาอยู่ด้วยกันจริงๆ

    ความผูกพันธ์เดียวที่มีต่อเมืองปีนังของผมคือ มันเป็นเมืองที่ญาติผมเคยมาทำงานอยู่พักใหญ่ๆ
    นอกจากนั้น ทุกอย่างว่างโล่ง พอๆ กับกระเป๋าตังของผมในเวลานั้น (ฮือ​)

    ทว่าหาก อยุธยาไม่สิ้นคนดีฉันใด กูเกิ้ลก็ไม่สิ้นรีวิว ฉันนั้น อากู๋ที่เคารพพาผมไปเจอกับ blog การเดินทางท่องเที่ยวในปีนังของ @plynoi www.twitter.com/plynoi เหมือนคนหลงทางในทะเลทรายเจอโอเอซิสยังไงอย่างงั้น
    และสิ่งที่ถีบตา (รุนแรงกว่าเตะตา) ผมเข้าอย่างจัง คือ เรื่องของ Gurney Drive ครับ
    วินาทีนั้นเอง ผมก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า ตามรอยปีนังตามพี่เขาเลยละกัน

    จากตอนที่แล้ว ที่บอกว่าจะไปหาของกิน
    เป้าหมายของที่ผมจะไปก็คือ Gurney Drive นี่แหล่ะครับ
    แล้วจะไปยังไง...วิธีการเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองปีนัง บอกได้เลยว่าโคตรแห่งความง่าย
เพราะต่อให้ไม่รู้สี่รู้แปดเลยว่า ต้องขึ้นรถคันไหน หรือ ยังนึกไม่ออกว่าจะไปไหนดี 
เมืองนี้มีสูตรลับจำง่ายแค่หกพยางค์ ท่องให้ขึ้นใจแล้วจะไม่มีวันหลงทาง

    “คิด-ไม่-ออก-ไป-Kom-tar”

    ถ้าเปรียบปีนังเป็นจักรวาล Komtar คงเป็นเช่นดวงอาทิตย์ ศูนย์กลางการเดินทางของชาวปีนังทั้งปวง
เพราะรถบัสทุกคันในเมืองจะต้องผ่านท่ารถที่อยู่ใต้ห้างสรรพสินค้านาม Komtar นี้ 
สิ่งที่คนไทยอย่างผมอิจฉาชาวมาเลย์จนดวงตาไฟลุกพรึ่บๆ คือ การที่รถเมล์บ้านเขาใช้งานได้ง่าย แถมมีป้ายบอกด้วยว่ารถคันที่กำลังรออยู่ อีกกี่นาทีจะเข้าเทียบท่า ไม่ต้องเพ่งกษิณ ลุ้นระทึกดั่งเกมวัดดวงเหมือนบ้านเรา

    และนับว่าเป็นโชคดีที่เกสต์เฮาส์ผม อยู่ห่างจาก Komtar แค่หนึ่งช่วงเดินแบบกำลังดี
    ป่ะ ของกินที่ Gurney Drive รอเราอยู่ !
  • รถบัสจอดพาผมไปส่งยังที่หมายราวๆ ห้าโมงเย็นนิดๆ
    หักลบคิดไปคิดมา ก็แอบคิดว่ายังเร็วไปสำหรับมื้อค่ำ เลยตัดสินใจลองเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าแถวนั้นดูก่อนละกัน
    ในห้างก็... ห้างอ่ะครับ เหมือนห้างบ้านเราเลย ตอนไปมีกิจกรรมแข่ง Temple Run 2 กันอยู่ แวะไปสำรวจเกมเซนเตอร์ ตู้เกมที่นู่นดูอัพเดทกว่าตู้เกมบ้านเราเยอะ ตู้กาชาปองเรียงกันเป็นตับเลย

    ไงต่อดีวะ... ไม่รู้จะไปไหนต่อแล้ว ลองเดินไปจนสุดห้างดูแล้วกัน
    วื้ดดดด เสียงประตูอัตโนมัติเปิดออก ลมร้อนปะทะเข้าหน้า
    ... ถ้าผมกรี๊ดได้คงกรี๊ดไปแล้ว

    เพราะวิวตรงหน้ามันคือชายทะเลครับ!


    Gurney Drive มันคือถนนเลียบชายทะเล มีชาวบ้านมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ มีเด็กวิ่งเล่นเฮฮา บ้างก็จีบกัน บ้างก็มุ้งมิ้งใส่กัน บ้างก็น่าจะทะเลาะกัน (ในรูปนี่น่าจะอย่างหลัง) โดยอีกฝากหนึ่งของถนนก็คือทิวแถวของห้างสรรพสินค้าและโรงแรมตั้งติดกันสลอน
    ถ้าจินตนาการภาพไม่ออก ลองนึกถึงบางแสนครับ ฟิลลิ่งนั้น แต่ดิบเถื่อนน้อยกว่าหลายช่วงตัว

    เจออะไรแบบนี้ พีระก็สนุกเลยสิครับ เดินเล่นกินลมชมวิว แอบดูวิถีชีวิตชาวบ้านชาวช่องเขาทำอะไรกัน
    ส่วนใหญ่ก็มาเป็นครอบครัวครับ อารมณ์เหมือนพาลูกพาหลานมาเที่ยว มาเดินห้าง ชมธรรมชาติ และ หาอะไรกินในวันหยุดสุดสัปดาห์

    ที่ริมสุดฝั่งถนน ผมเห็นแสงไฟลิบๆ ตั้งเรียงรายกันอยู่แน่นขนัด
    เข้าใจฟิลลิ่งชาวประมงหลงทางเจอประภาคารริมฝั่ง เหมือนได้ยินเสียงอาหารโบกมือเรียกไหวๆ
    หึ ยอมก็ได้ กินก็กิน

    จุดหมายสุดท้ายของค่ำคืนนี้รอผมอยู่ข้างหน้าแล้ว

  • ตลอดการเดินทางตั้งแต่ กทม. จนมาถึงปีนัง
    ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียว ที่มีความรู้สึกนี้แว่บเข้ามาในหัว ความรู้สึกที่ว่า อยากมีใครสักคนอยู่ด้วย
    ภาพบาดตาตรงหน้าทำให้หัวใจที่คิดไปเองว่า "เฮ้ย เราโอเค" แต่จริงๆ ข้างในมันไม่โอเคเลย
    ... ใช่ครับ โมเมนต์นั้น มันเป็นโมเมนต์พิฆาตนักเดินทางตัวคนเดียวแบบผมจริงๆ

    ไม่.. ไม่ใช่ลมหนาวเศร้าสร้อยจนอยากจับมือใครมากุมให้หายหนาว
    แต่เป็นเพราะว่า...

    "ของกินตรงหน้า มันน่าแxกไปหมดเลยเฮ้ย มาคนเดียวจะกินได้ไงหมดว้าาาาาา"

    ต่อหน้าผมในขณะนี้ คือซุ้มอาหารจีนที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน
    กะด้วยสายตาไม่น่าจะต่ำกว่า 20-30 ร้าน ดิสเพลย์อาหารแต่ละอันทำเอาผมแฉะไปหมด
    (หมายถึงน้ำลายสอในปาก อย่าคิดไกล)
    และเมื่อเดินทะลุไปอีกฝั่ง ซุ้มอาหารอิสลามก็รอต้อนรับผมอยู่อีกเพียบ
    ศูนย์อาหารย่อมๆ อันนี้ทำให้ผมอยากจะแปลงร่างเป็นชูชก ไล่กินทุกร้านทุกเมนูให้รู้แล้วรู้รอดมากๆ

    ถ้ามีคนมาช่วยกิน ช่วยชิมหลายๆ อย่างก็คงดี
    ถ้าพูดภาษามาเลย์ได้คงทำไปแล้ว #เนียน

    หลังจากเดินวนไปวนมาหลายรอบ เพราะผมเป็นคนเรื่องมาก + งก + กระเพาะมีจำกัด
    ผู้ชนะที่ได้มาแบ่งปันพื้นที่ในพุงของผม มีรายชื่อดังต่อไปนี้



    1. บะหมี่น้ำสไตล์ปีนัง เป็นบะหมี่ใส่พริกเผา เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ มีพวกกุ้ง ไข่ต้ม หมู อะไรทำนองน้ั้น ตอนสั่งเขาถามว่าอยากเพิ่มหมูสามชั้นมั้ย นี่ก็คิดว่า เหมือนเมืองไทยมั้ง + 10 บาท งี้ บรึ้ม จาก 40 บาทเด้งไปเป็น 80 บาทเฉย ฮือ เจ็บใจ แต่ที่เจ็บใจกว่าคือ รสชาติมันก็ธรรมดาๆ นี่หว่า ฮือออออออ

    2. Lok Lok ในภาพจะเห็นสารพัดทุกสิ่งอันเสียบไม้อยู่ลิบๆ ตา พร้อมเห็นว่ามีเตาส่วนตัวประหนึ่งไปกินชาบูชิอยู่ตรงด้านซ้ายมือ นั่นแหล่ะครับ ทุกคนคงเดาได้โดยสัญชาตญาณ ง่ายๆ เลย หยิบไอ้ของเสียบไม้ ซึ่งครอบจักรวาลทุกประเภทของกินที่เราเห็นใน MK แล้วเอามาลวกในหม้อ เอาน้ำจิ้มราด กินเท่าไร จ่ายเท่านั้น สนนราคาไม้ละ 10 บาท คนมาพากันมุงจุ่มจิ้มเยอะมาก
    ที่ผมลองคือ หมึกกรอบ หอยแครง แมงกระพรุน เด็ดดวงมาก กรุบกรอบแถมแซ่บ คิดถึงลูกชิ้นปิ้งโง่ๆ ที่ กทม. เลย

    3. Char Koay Teow ก๋วยเตี๋ยวผัด ที่เลือกกินจานนี้ ไม่มีอะไรมากเลยครับ เพราะคนต่อแถวเยอะมากกกกกก ในใจคิดว่า เฮ้ย มันต้องแหล่มแน่ โลคอลยังชอบกินอ่ะ ร้านอื่นขายเมนูนี้ เขาไม่มาต่อกัน ร้านนี้ต้องพีคแน่นอน ป้าบ รอไปครับ 15 นาที
    เอาเข้าปากปุ๊บ โอ้โฮ... ร้อน (มุกแบบนี้ควรเลิกเล่นแล้วสินะครับ) เป็นเส้นใหญ่ผัดกะถั่วงอก พร้อม กุ้งสามตัว ราคา 50 บาท รสชาติแน่นๆ เข้าเนื้อ พริกไทยมาเต็ม อร่อยสมกับที่ต้องไปยืนรอ เด็ดดวงมาก

    4. น้ำเต้าหู้เย็น 12 บาท งั้นๆ อ่ะ ไม่มีไรพิเศษ จบ.

    เห็นกินเยอะขนาดนี้ มันยังมีอาหารอีกจานที่ผมพลาดครับ
    สิ่งที่ผมอยากกินมากที่สุด แต่ไม่สามารถทำได้... นั่นคือ


    หมึกกรอบผัดพริกเผากับผักบุ้งครับ
    เหตุผลคือ เขาขายทั้งตัวครับ 120 บาท ถึงผมจะชอบหมึกกรอบมากๆๆๆๆๆ แต่กินคนเดียวหมดจานนี่น่าจะเกินไป เห็นทุกโต๊ะที่มาเป็นครอบครัวต่างสั่งมากินกันถ้วนหน้า เสียดายมากๆ

    คิดซะว่าเก็บไว้เป็นข้ออ้างให้กลับมาเยือนปีนังอีกรอบก็น่าจะเวิร์ค
    "เธอๆ ไปนั่งกินหมึกกรอบผัดพริกเผาริมทะเลกับเรามั้ย"
    นี่แหน่ะ
  • นาฬิกาในมือถือบอกเวลา 3 ทุ่ม เอาละ ถึงเวลากลับที่พักละ
    พีระหอบร่างพร้อมอาหารเต็มท้องเดินผ่านห้าง กลับไปนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายใกล้ๆ กับ ป้ายที่ลงมาเมื่อตอนเย็น
    นั่งไป ง่วงไป นี่กะว่า ถ้าถึงที่พักคนจะอาบน้ำนอนเลย พรุ่งนี้ต้องใช้แรงอีกเยอะ

    ...
    ..
    .
    เกือบชั่วโมงผ่านไ ทำไมมันไม่มีรถเมล์สักคันผ่านมาเลยหว่า สายที่จะขึ้นน่ะ
    แค่ 4 ทุ่มเอง รถเมล์มันยังไม่น่าหมดนา กทม. ยังหมด 5 ทุ่มเลย (เดี๋ยวๆ)​ (ตอนนั้นคิดงี้จริงๆ)
    เอาแล้วไงล่ะ หรือต้องนั่งแท็กซี่กลับเข้าเมือง บอกเลย หมดตัวแน่นอน เพราะดูจากตอนที่นั่งมาเนี่ย ก็ไกลแสนไกลอยู่ประมาณนึง
    แต่ไม่ใช่มีแค่ผมที่นั่งตกระกำลำบาก เพราะยังมีคุณป้าอีกคนที่นั่งชะเง้อรอรถเมล์อยู่เหมือนกัน
    ก็ยังดี ที่ไม่เหงา

    เมื่อเวลาเข้าสู่สถานการณ์คับขัน เรามักจะหาหนทางอะไรก็ได้เพื่อเอาตัวรอด
    การแอบเสือกเรื่องชาวบ้านเขาคุยกัน ก็เป็นอีกวิธีที่ผมชอบใช้
    ขอบคุณที่ป้าคนนั้นคุยกับชาวมาเลย์จนคำพูดมันลอยมาเข้าหูผมว่า ป้ายที่เรานั่งรอรถกันอยู่เนี่ย ดึกๆ รถมันน้อยมาก ถ้าเดินทะลุไปอีกฝากถนนราว 15 นาที จะเจอถนนเส้นหลัก ที่มีรถผ่านมากกว่า
    ได้ยินดังนั้นปั๊บ ผมขอใช้ความใจหมาประมาณนึง ออกเดินทางเลยครับ
    น่าจะเรียกปฏิบัติการครั้งนี้ได้ว่า "ไปตายเอาป้ายหน้า"

    พอข้ามถนนปั๊บ ผมมองกลับมา เห็นคุณป้าท่าทางลังเลว่าจะเอายังไงดี แต่สุดท้าย คุณป้าก็เดินตามผมมาด้วย
    ถนนหนทางตรงนั้นก็นับว่ามืดอยู่พอควร ใจนึงก็ดีใจที่มีคนมาร่วมทางด้วย เผื่อมีเหตุการณ์อะไรไม่คาดฝัน จะได้มีป้ามาร่วมลำบากไปด้วยกัน (หืม) แต่จากการแอบฟังเมื่อกี้ ระหว่างการสนทนาของคุณป้ากับคนมาเลย์ มีบางสิ่งในน้ำเสียงที่ทำให้ผมคาใจ และ ผมอยากรีบเคลียร์ก่อนที่จะมีป้ามาเดินตามหลังผมแบบนี้

    ผมเดินย้อนกลับไปหาป้า พร้อมเอ่ยปาก
    "คนไทยใช่มั้ยครับ" (ภาษาไทย)
    ... ป้าทำท่าตะลึงก่อนพยักหน้าแล้วยิ้มกลับมาให้
    อยากจะเอาเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาว่า การพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด
    อย่างน้อย สำเนียงของป้า ก็ทำให้ทั้งผมและป้า ไม่ต้องเดินฝ่าดงความมืดในต่างบ้านต่างเมืองกันแบบลำพัง

    สุดท้าย ทั้งป้าและผมก็ได้ขึ้นรถเมล์กลับ Komtar กันโดยสวัสดิภาพ
    ผ่านช่วงเวลาอันน่าเบื่อขณะเดินทาง ด้วยการนั่งฟังคุณป้ารีิวิวแนะนำแหล่งช็อปปิ้งทั่วเมืองปีนังที่คุณป้าเคลมว่าไปมาหมดแล้ว และ ไปบ่อยมาก
    ถึงเรื่องห้างของคุณป้า จะเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาผมมากๆ เพราะกระเป๋าเงินของผมไม่อำนวยสักเท่าไร
    แต่ก็ทำให้ผมได้รู้ว่า การมีเพื่อนร่วมทางก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก

    โดยเฉพาะ ในห้วงเวลาที่อยากจะหาคนมาร่วมแชร์ความโชคร้ายด้วยกัน
  • ปล รีวิวที่ผมตามรอยมา อ่านเต็มๆ ได้ที่ http://plynoi.exteen.com/20120520/entry

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in