หลายท่านรู้จัก RADWIMPS ผ่านผลงานทำเพลงประกอบอนิเมชั่น Kimi no na wa หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากทำความรู้จักวงนี้มากขึ้น เราได้แปลส่วนที่โนดะ(ร้องนำ)เขียนถึงสมาชิกวงตั้งแต่สมัยฟอร์มวงตอน ม.ปลาย มาจนถึงสมาชิกวงในปัจจุบัน หากท่านสงสัยว่าสมาชิกในวงมีที่มาที่ไปอย่างไร บทความนี้มีคำตอบให้แน่นอน
บทความนี้แปลมาจากบางส่วนของหนังสือラリルレ論 (Rarirure-ron) ที่เขียนโดยโนดะ โยจิโร่ นักร้องนำวงRADWIMPS เนื้อหาในเล่มเป็นไดอารีที่เขาบันทึกต่อเนื่องระหว่างทัวร์RADWIMPS GRAND PRIX 2014 実況生中継 ที่ญี่ปุ่นเป็นระยะเวลาครึ่งปี เมื่ออ่านจบแล้ว หวังว่าจะทำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักวง RADWIMPS และสมาชิกในวงเพิ่มมากขึ้นนะคะ ^_^
------------------------------------------------
2014-02-05
ผมคิดว่าจะเขียนไดอารี เหตุผลอะไรนั่นก็ไม่รู้เหมือนกัน
อาจจะเขียนได้ดี หรืออาจจะเบื่อขึ้นมาก็ได้ แต่ก็คิดว่าจะเขียนมัน
ทัวร์วันแรกที่Takasaki club FLEEZ เป็นไลฟ์ที่ดีมากเลย ใช่แล้ว ทุกคนพูดกันอย่างนั้น
อาจเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอิ่มเอมที่ทำได้สมกับที่ตั้งใจไว้ในวันแรกของทัวร์ ยอดไปเลยนะ ลองคิดดูแล้วเป็นไลฟ์ที่จัดที่Live Houseในรอบ 3ปีเชียวล่ะ แล้วก็เป็นสถานที่ที่มาเยือนเป็นครั้งแรก ช่วงเวลาที่ขึ้นไปยืนบนเวทีเป็นอะไรที่แปลกใหม่ รู้สึกตัวลอยเลย ในหัวนี่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สงบ แต่ความรู้สึกนี่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ร้อนรุ่ม เป็นบรรยากาศที่สุดยอดมาก ไม่ต่างไปจากคำพูดที่ว่านี้เลย ขอบคุณนะทุกคน
ผมรู้สึกว่าทัวร์ครั้งนี้จะต้องออกมายอดเยี่ยมแน่นอน ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน
ขอบคุณนะ ตุ๊กตาดารุมะ*ก็จะอยู่ด้วยกันไปจนจบทัวร์อย่างแน่นอน
ก่อนที่จะอ่านไดอารีนี้ต่อไป สมาชิกของวงRADWIMPS
คนแรกคือ คุวะฮาระ อากิระ มือกีต้าร์ของวง ผมคบกับเขามา 15 ปี ครึ่งหนึ่งของชีวิตเลยมั้ง เขาอวบนะ ช่วงนี้ผมตัดสินใจเด็ดขาดอย่างไม่มีแผนการใดๆ ที่จะเรียกว่านั่นล่ะเป็นลักษณะเฉพาะของเขา เขาแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ ครับ ประมาณ 7 ปีก่อนหน้านี้เขาพยายามไดเอทสุดชีวิต ใส่กางเกงสกินนี่ที่พลิ้วๆ พอชวนไปทานข้าวก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า "กินไม่ได้แล้วนะ เลย 6 โมงเย็นมาแล้ว" ผมล่ะอยากให้คุวะในตอนนั้นได้ดูสารรูปของเขาในตอนนี้จัง แล้วผมจะพูดกับเขาว่า"ไม่ไหวหรอก"
ผมเจอเขาครั้งแรกตอน ม.4 เดือนเมษา คุวะฮาระในตอนนั้นเรียน ม.ต้นที่เดียวกัน เขาตั้งวงดนตรีขึ้นมาเพื่อที่จะได้ขึ้นแสดงในพิธีจบการศึกษามัธยมต้น ผมก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวงนั้นด้วย กับเพื่อน(ที่ถึงจะพูดแค่ตรงนี้ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาได้ เลยขอละไว้เพียงเท่านี้ครับ) พอผมบอกว่าผมก็เล่นดนตรีอยู่นะ เขาก็ตอบกลับมาว่า"เล่นให้ฟังหน่อยดิ" ผมก็เลยทั้งร้องทั้งเล่นเพลงของOASIS*ที่บ้านเขา พอทำแบบนั้นแล้ว เจ้าหมอนั่นก็โทรหาสมาชิกในวงคนอื่นให้พวกเขาฟังเสียงของผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย แล้วก็พูดว่า ร้องเพลงเก่งนี่ ทุกคนได้ฟังกันหมดแล้วนะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงไปโดยปริยาย ตั้งแต่สมัยประถมผมก็ร้องเพลงคนเดียวมาโดยตลอด พูดตรงๆ แล้วผมดีใจกับการชักชวนนั้นนะ
ในบรรดาสมาชิกวงช่วงแรก คุวะฮาระเนี่ยไม่เป็นที่น่าจับตามองมากที่สุดเลยครับ ตัวก็เล็ก นุ่มนิ่มๆ ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เป็นไทป์ที่ยอมอ่อนข้อให้คนรอบข้าง สมาชิกคนอื่นก็คงคิดว่าเขาเข้าถึงยากเหมือนกับผมละมั้ง
ส่วน Y ที่เป็นเมนกีต้าร์ สมัย ม.ปลายก็ถูกจับข้อหาดื่มเหล้าตั้งไม่รู้กี่ครั้ง สุดท้ายก็เกิดอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์ บาดเจ็บสาหัสต้องพักรักษาตัว 3 เดือนทำให้ขึ้นแสดงไลฟ์ไม่ได้ ตอนนั้นก็เลยขึ้นแสดงกันทั้งที่จำนวนคนลดลงไปหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ครับ
S ที่เป็นมือกลองก็บอกว่าตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะคว้าใบอนุญาตขับเฮลิคอปเตอร์ให้ได้ แล้วอยากปลีกตัวไปทำงานด้าน Agricultural Chemical ที่อเมริกา ในตอนนั้นทุกคนคงคิดว่า"ทำไมถึงทำวงดนตรีกันอยู่นะ" (ถึงจะพูดออกมาตรงๆ ไม่ได้ก็เถอะ)
A คุงที่เล่นเบส อายุ 23 แล้ว แต่ยังเรียน ม.ปลายต่อ หมอนั่นเป็นคนเท่ห์ๆ ถึงขนาดที่ว่าไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอื่นๆ หรอก เขาเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัดมาก เป็นชายหนุ่มผู้แสนดีที่จะขอพรจากพระเยซูเสมอ ไม่ว่าจะก่อนขี่มอเตอร์ไซค์หรือก่อนขึ้นแสดงก็ขาดไม่ได้เลย เขาปล่อยคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ ออกมาว่า"ผมมีพี่น้อง 9 คน เป็นครอบครัวที่อยู่กัน 11 คนล่ะ" พูดแบบนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง แต่ก็ไม่มีสมาชิกในวงคนไหนสักคนเชื่อ ได้แต่หัวเราะกันแล้วเอ่ยว่า พูดแบบนี้อีกละ (หลังจากนั้นเทรนด์ของผู้หญิงที่อายุเยอะแล้วแต่ยังสวยอยู่ก็มาเยือน ก็มีรายการทีวีที่รวบรวมเหล่าคุณแม่ที่มีลูกเยอะแต่ยังสวย ครอบครัวของA ทั้งหมดก็ได้ออกทีวี A คุงที่ออกอากาศแบบเต็มหน้าเต็มจอพร้อมรอยยิ้มนั้นมีครอบครัวที่อยู่กัน 11 คนจริงๆ ด้วย ขอโทษนะ A คุง)
ด้วยเหตุนี้ในบรรดาสมาชิกยุคแรก คุวะฮาระที่บุคลิกเฉพาะตัวได้เปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่ทำอะไรมีแบบแผนมากที่สุด พึ่งพาได้มากที่สุด และทำอะไรก็ทำให้บรรลุเป้าหมายได้มากที่สุด
สมาชิกในวงที่ไม่มีระเบียบนั้นรวมผมเข้าไปด้วย ถึงวันเวลาเปลี่ยนผันไปผมก็ยังมาสตูดิโอสายอยู่ดี ส่วนคุวะก็จะมาถึงเป็นคนแรกเสมอและคอยสั่งสอนพวกพ้องที่ตามมาทีหลัง (ตอนนี้คนที่มาสายที่สุดก็คือคุวะฮาระซะงั้น (ส่วนผมก็มาสายรองจากเขา) ของแบบนี้มันเปลี่ยนแปลงกันได้เนอะ)
ผมที่ไม่มีเงินนั้น จะยืมค่าเช่าสตูดิโอจากคุวะอยู่เสมอ ผมบอกเขาว่าจะจ่ายคืนเป็นความสำเร็จให้แทน เมื่อผมถามคุวะฮาระว่า"ทำไมถึงมีเงินทั้งที่ไม่ได้ทำงานพิเศษมากอะไรขนาดนั้น" เขาก็บอกว่า"มีญาติเยอะก็เลยได้รับอั่งเปาปีใหม่มาเยอะแยะเลย" ผมคิดว่าคงเป็นครอบครัวที่รวยมากแน่ๆ
แต่ว่าด้านการแสดงดนตรีจะไม่ได้เห็นลักษณะเฉพาะของเขามากนัก เสียงกีต้าร์ของคุวะมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นซึ่งสร้างความประทับใจให้ทุกคนได้เสมอ กีต้าร์ Les Paul Junior สีแดงที่ซื้อจากฮาวายตัวโปรดของเขา กับ Overdrive effect ของ BOSS เป็นสไตล์ของเขาเลยล่ะ ถึงผมจะพูดอยู่ตลอดว่า"เสียงมันแปร่งๆ นะ ซื้อตัวอื่นมาใช้ได้แล้ว" เขาก็ค้านหัวชนฝาบอกว่า
พอเขาเรียนจบ ม.5 จู่ๆ ก็หยุดเรียน ม.ปลายกะทันหัน
ดูเหมือนว่าการชนะเลิศแข่งขันวงดนตรีทั่วประเทศในหน้าร้อนปีที่แล้วจะเป็นสาเหตุหลักทั้งหมด เขาเข้าใจแจ่มแจ้งในตอนนั้น บอกว่าวงนี้คือชีวิตของผม ผมเกิดมาเพื่อที่จะทำวงดนตรีนี้
ผมกับท่านประธานสำนักงานในตอนนั้นก็รับรู้และพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอยู่ 5 ชั่วโมง อธิบายให้เข้าใจถึงความเข้มงวดของโลกใบนี้ที่มีต่อหนุ่มสาวที่ยังไม่เคยเห็นโลกฝั่งนั้น ยังไม่รู้จักโลกนี้ดีพอ อธิบายย้ำให้เขาสำนึกถึงการเรียนมัธยมปลาย
บอกเขาว่าไม่ต้องเรียนก็ได้ ถึงเพื่อนๆ จะน่าเบื่อก็ไม่เห็นเป็นไร ช่วงที่ไปโรงเรียนคงค้นพบอะไรที่น่าสนใจได้สักอย่างเองแหละ ก็แค่ชนะเลิศการแข่งวงดนตรีที่เป็นเหมือนงานอดิเรก ยังไม่ได้ตกลงเซ็นสัญญาอะไรเลยด้วยซ้ำ ยังไม่ได้เริ่มรับเงินเดือนเลย อยู่แค่ระดับนี้แล้วจะมาหยุดเรียนไปเลยมันก็ออกจะหุนหันพลันแล่นไปหน่อยมั้ย เขาก็รับฟังอย่างตั้งใจนะ พอเห็นเขาพยักหน้าซ้ำๆ แบบนั้นพวกผมก็โล่งใจ แล้วก็แยกย้ายกันไปในวันนั้น
พอวันถัดมา เขาก็ลาออกจากโรงเรียน ผมไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว รู้สึกเกลียดเขาขึ้นมานิดหน่อย แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง
แต่ว่าสุดท้ายหลังจากนั้น พอผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว การที่มีแค่ผมกับคุวะฮาระอยู่ทำวงกันต่อนั้นเป็นเพราะผมรู้ว่าเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ถึงจะเจ็บแค้นเคืองโกรธกันแต่พอเวลาผ่านไปหลายปี ความรู้สึกที่ถูกกัดกินนั้นก็ไม่ใช่ของที่ควรจะสะสมมันไว้ ผลลัพธ์ก็คือการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่ทุ่มสุดตัวนั้นดันประสบผลสำเร็จ
คุวะฮาระ ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม ความหิวโหยกับความคลั่งไคล้ในการเล่นกีต้าร์ของนายในตอนนั้น
------------------------------------------------
*ดารุมะ คือของขึ้นชื่อของเมืองทาคาซากิ เป็นของขวัญที่ได้รับมาจากแฟนๆ ที่ช่วยกันวาดเขียนจนไม่มีที่ว่างก่อนพวกเราขึ้นแสดง ช่วงอังกอร์ของวันนี้ได้วาดตาสีดำข้างหนึ่งลงไป สัญญาว่าพอจบทัวร์แล้วจะกลับมาวาดตาอีกข้างหนึ่งลงไป หลังจากนั้นแฟนๆ ก็บอกว่าให้นำดารุมะไปวางไว้ในห้องซ้อมดนตรีก่อนขึ้นแสดงของแต่ละสถานที่ ให้เป็นเหมือนเทพเจ้าที่ช่วยปกปักรักษา เหล่าสมาชิกในวงก็พากันกราบไหว้บูชา
*OASIS คือวงRockสัญชาติอังกฤษที่ผมรู้จักสมัยเรียนอยู่มัธยมต้น วงที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำวงดนตรี เพื่อนที่อยู่ชมรมบาสสมัย ม.ต้นเป็นคนแนะนำให้รู้จัก ตั้งแต่นั้นมาผมก็ซื้อสมุดโน๊ตดนตรีของวงนี้ แล้วฝึกร้องฝึกเล่นดนตรีทุกวัน
*『RADWIMPS』เป็นอัลบั้มแรกของพวกเราที่วางขายสมัยยังเรียนอยู่ ม.6 อัดเสียงกันระหว่างที่ไปนอนค้างแรมที่ไซตามะตอนปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิครั้งสุดท้ายสมัย ม.5 ถือเป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้
------------------------------------------------
คนต่อมาก็คือ ทาเคดะ ยูสุเกะ มือเบสหลายสายที่ดีดด้วยวิธี Slap* (เบสมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับจำนวนสาย เบสทั่วไปมี 4 สาย แต่เบสที่เขาใช้มี 5 สายและ 6 สาย) เป็น
เขาชอบเครื่องยนต์กลไกสุดๆ พวกเกม พวกAir Gun เขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติเป็นพวกที่คลั่งไคล้อะไรแบบสุดโต่งอันดับหนึ่งเลย เวลาซื้อพวกเครื่องเสียงมาไว้ที่บ้าน พอจะเซตติ้งทีไรต้องวานทาเคดะทุกที แค่รีเควสไปแบบคร่าวๆ ทาเคดะก็จะทำไปอย่างสนุกสนานพร้อมรอยยิ้ม
ผมได้เจอเขาตอนอายุ 18 หลังจากที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ตอนแรกนั้นคุวะฮาระเป็นคนพาซาโตชิ(มือกลอง)มา มีแค่มือเบสเท่านั้นที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะจัดออดิชั่นกันหลายครั้งก็แล้ว สุดท้ายก็ยังเลือกไม่ได้ พอซาโตชิบอกว่ามีรุ่นน้องที่มหา'ลัยดนตรีอยู่คนนึงฝีมือใช้ได้เลย แล้วซาโตชิก็พาทาเคดะมา
เขาในตอนนั้นสภาพเหมือนชาวอาราเบียเลยนะ ทั้งผ้าโพกหัว ทั้งผ้าพันคอที่พันรอบๆ เอว เป็นผู้บุกเบิกวิธีSlapเบสไปด้วยสภาพแบบนั้นซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใครเลยทีเดียว
เขาตัวเล็ก แต่ก็เป็นสุภาพบุรุษมากทีเดียว หลุมพรางของทาเคดะคือเขาเก่งในการทำให้คนหลง ถ้าเขามาร่วมวงด้วยคงไปกันได้ดี พวกเราขอร้องเขาไปแบบนั้น
ตอนแรกๆ ที่คุยกับผม ทาเคดะจะเกร็งตลอดเลย เป็นอยู่อย่างนั้นหลายปี และเป็นผู้ชายที่มีความละเอียดอ่อนในความรู้สึก ผมเองก็รับรู้ความรู้สึกอะไรแบบนั้นได้ไวนะ มีช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าจะคบหาสมาคมกันยังไงดี-อยู่มาก ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของทาเคดะในเวลานั้นเลย เป็นเพราะเขาเข้ามาทีหลังก็เลยเกร็งๆ รึเปล่า หรือเพราะผมตัวใหญ่ก็เลยกลัวกันนะ
เขาเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 3 คน ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาเป็นคนที่ไร้เดียงสามากที่สุดในบรรดาสมาชิกวง
เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้ครับ จนถึงตอนนี้คุวะฮาระกับซาโตชิเป็นคนที่จิตใจอ่อนไหวง่าย ผมกับทาเคดะสองคนเลยรู้สึกว่าต้องมีโครงการทำอะไรที่ทุ่มเทใส่ใจเพิ่มมากขึ้น
ความประทับใจแบบตรงๆ ที่มีต่อทาเคดะที่เพิ่งเข้ามาในวงก็คือ เขากินจุมากครับ เห็นว่ามีร่างกายผ่ายผอมอย่างนั้นแต่กินได้เยอะมาก ตอนนั้นพวกเรายังมือใหม่กันอยู่ ยังสังกัดอยู่วงอินดี้ เงินเดือนก็ได้ 150,000 เยนต่อเดือน ไม่พอกินพอๆ กันเลย ระหว่างที่อัดเสียงหรือทัวร์กันอยู่ ท่านประธานสำนักงานก็จะเป็นคนเลี้ยงข้าว เลยแข่งกันว่าใครจะกินได้มากขนาดไหนถึงจะไม่ไหว สมาชิกในวงก็กินได้เยอะพอตัวเลยนะครับ แต่ทาเคดะน่ะกินได้มากผิดปกติ ส่วนของคนอื่นก็กิน ของคนข้างๆ ก็กิน จานของคนฝั่งตรงข้ามโต๊ะก็กิน คำพูดติดปากของเขาก็คือ"อันนั้นไม่กินแล้วเหรอ" พอมาคิดดูตอนนี้แล้วอดหัวเราะไม่ได้เลยครับ
ผ่านไปไม่นานเริ่มมีกลยุทธ์ที่เป็นความลับระหว่างทานอาหารในหมู่สมาชิกวงว่า เวลาหาที่นั่งทุกคนจะเริ่มเคลื่อนไหวแบบไม่สงบสุขกัน เหตุผลมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ"ไม่อยากนั่งข้างทาเคดะ"
โดยเฉพาะระหว่างผมกับคุวะสิ่งนั้นถือเป็นยุทธวิธีที่ดุเดือด ผมก็แค่อยากจะค่อยๆ ลิ้มรสชาติ พอถูกพูดใส่แบบนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกน็อคเอาท์เลยเผลอยกให้เขาไป ยิ่งกว่านั้นพอเห็นทาเคดะถือถ้วยอาหารด้วยมือเดียวแบบไม่ปล่อย เล็งเป้าหมายเป็นกับข้าวด้วยความตั้งใจแน่วแน่แล้ว ผมกินแบบสงบใจไม่ได้เลย
ผมมีโอกาสได้เจอคุณแม่ของทาเคดะแล้วพูดเรื่องนั้นออกไป เขาก็ตอบกลับมาด้วยความประหลาดใจว่า ตอนอยู่บ้านทาเคดะไม่ค่อยทานข้าวเลย สมาชิกในวงทุกคนถึงกับช็อค เป็นเพราะไม่ชอบกับข้าวฝีมือคุณแม่รึเปล่านะ หรือพออยู่บ้านแล้วคาแรกเตอร์เป็นอีกแบบ คาดเดากันไปต่างๆ นานา ไม่รู้ว่าข้อไหนถูกแต่ผมลองเลือกมาข้อหนึ่งที่เข้ากันได้พอดี คือว่าทาเคดะมีพี่น้องอยู่ 3 คน ทั้งหมดเป็นผู้ชายหนำซ้ำเขายังเป็นน้องสุดท้อง ต้องอึกทึกครึกครื้นแน่ๆ ตอนทานข้าวอาจเคยโดนพวกพี่ๆ แย่งอาหารรึเปล่า จากประสบการณ์ในครั้งนั้นที่ว่าพอจะทานข้าวต้องนั่งท่าเทพบุตรยืดหลังตรง ถือถ้วยข้าวไว้ในมือซ้าย มีท่วงท่าโน้มตัวไปข้างหน้าเป็นบุคลิกซึ่งกลายเป็นสไตล์จู่โจมในตอนนี้ไปเรียบร้อย
ทั้งผมและคุวะมีพี่น้อง 2 คน ส่วนซาโตชิมีพี่น้อง 4 คนที่เป็นผู้หญิงหมดยกเว้นเขา สิ่งที่ตัวเองยึดมาได้อาจจะถูกแย่งชิงไปเหมือนศัตรูในห่วงโซ่อาหาร พอเป็นอย่างนั้นก็คิดขึ้นมาว่าทาเคดะนี่ช่างเป็นที่รักจริงๆ "กินอีกสิทาเคดะ, นี่ หิวไม่ใช่เหรอ, กินเยอะๆ, เอ้า กินส่วนของฉันด้วย" รู้สึกไปแบบนั้นจนได้ (ขอปฏิเสธไว้ก่อนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของผมเท่านั้นครับ)
ตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมา 10 ปีแล้ว พวกเราเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน ปริมาณอาหารที่ทานก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นว่าทาเคดะก็ทานข้าวเหมือนคนปกติทั่วไปแล้ว เอาน่า มีความสงบสุขในการทานข้าวได้เสียที น่ายินดี น่ายินดี
การทานข้าวเป็นแบบนั้นแล้ว ในบรรดาสมาชิกวง คนที่ดื่มเหล้ามากที่สุดก็คือทาเคดะนั่นแหละครับ แข็งแกร่งมาก ธรรมเนียมที่พอกลับบ้านไปแล้วต้องเปิดเบียร์เนี่ย สมาชิก 3 คนไม่มีธรรมเนียมแบบนั้นเลยยกเว้นทาเคดะที่เหมือนจะมีความเป็นผู้ชายญี่ปุ่นอยู่เต็มตัว
พอผมประกาศออกไปว่าจะไม่ดื่มเหล้าจนกว่าทัวร์จะจบ ทาเคดะก็พลอยทำไปด้วย ผมน่ะดื่มเป็นบางครั้งก็เลยไม่ทรมานหรอก แต่ทาเคดะเนี่ยเหมือนเขาอยากดื่มมากจริงๆ
พอจบทัวร์ ทาเคดะก็ดื่มเหล้าทำหน้าเคลิ้มเลย ดูเหมือนว่าคนที่มีความสุขมากที่สุดตอนดื่มก็คือทาเคดะนั่นละครับ
------------------------------------------------
*Slap เป็นวิธีเล่นที่สร้างเสียงโดยใช้การเชื่อมโยงของนิ้ว เสียงที่ออกมาจะเป็นเสียง"เบน!" เป็นเทคนิคที่ถูกใช้บ่อยๆ ในเพลง"Oshakashama" ของพวกเรา
------------------------------------------------
คนสุดท้ายก็คือซาโตชิ เขาอายุเท่าพวกเราแต่ชั้นปีที่เรียนเขาแก่กว่าพวกเราไป 1 ปี ตอนที่ฟอร์มวงในนามRADWIMPS แล้วเข้าร่วมงานแข่งขันวงดนตรีทั่วประเทศ เขายังเป็นสมาชิกของวงอื่นที่เข้าแข่งขันด้วย วงนั้นชื่อว่า"Okashi(をかし)" ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ผมก็คิดว่าเป็นชื่อวงที่แปลกดี การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจัดขึ้นที่โยโกฮาม่าอารีน่า ถึงพวกเราจะคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้แต่คู่แข่งที่น่ากลัวก็คือวง"Okashi"นั่นล่ะครับ พวกเขาเป็นวงเมทัล ซาโตชิใช้กลอง 2 กระเดื่อง*อย่างคล่องแคล่วด้วยใบหน้าใจดีแบบนั้น เป็นวงที่เข้าแข่งขันด้วยแนวทางที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวก็คือการร้องตะโกน ในเพลงธีมอกหัก พอถึงจุดที่หวนคิดถึงซาโตชิแล้วจะนึกถึงเขาในนามของ "คู่แข่งที่น่ากลัวผู้ที่สร้างบรรยากาศให้การแข่งขัน" เทคนิคการเล่นดนตรีของพวกเขายอดเยี่ยมจนRADในตอนนั้นเทียบไม่ติดเลย กลับกันพวกเราที่ขึ้นแสดงในตอนนั้นอ่อนกว่าทุกๆ วง ผมยอมรับในฝีมือของวงอื่นจริงๆ
หลังจากการแข่งครั้งนั้นก็ไม่ได้ติดต่อเขาอีกเลย จนผ่านไปหลายปีให้หลังคุวะฮาระบังเอิญเจอซาโตชิที่กำลังยืนแจกทิชชู่อยู่ในเมือง ตอนนั้นกำลังตามหามือกลองกันอยู่ การพบเจอกันอีกรอบครั้งนั้นเป็นเหตุให้ชวนเขาเข้าวง เหมือนเป็นพรหมลิขิตอะไรสักอย่าง
ซาโตชิในตอนนั้นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดนตรี นั่นเป็นสิ่งที่ดีนะแต่เขาไม่ค่อยไปเรียนเลย ขยันอยู่แต่กับการทำงานพิเศษและการเล่นไพ่นกกระจอกซึ่งเป็นการใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ถึงแม้จะเป็นวงอินดี้แต่วงของพวกเราก็เริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นมาเล็กน้อยตั้งแต่ประกวดที่โยโกฮาม่า สมาชิกที่ถูกชักชวนเข้ามาร่วมวงอย่างซาโตชิเหมือนจะได้ใจไปหน่อย
ณ ร้าน First Kitchen ในชินโยโกฮาม่าที่ผมกับคุวะไปเจอกัน เขาพูดว่า "ผมจะฝากชีวิตไว้กับวงนี้แล้ว ให้ผมทำเถอะ จริงๆ นะ ผมจะพยายาม" พวกเราประทับใจในการพูดตรงๆ ของเขาจริงๆ
ผ่านไปหลายเดือนหลังจากนั้น พอทาเคดะเข้าร่วมวงอย่างเป็นทางการแล้วก็เริ่มซ้อมดนตรีและกำหนดวันแสดงไลฟ์ พวกเราพึ่งพาซาโตชิในนามของผู้มีประสบการณ์แก่กล้า ซาโตชิก็เหมือนจะรู้ตัวดีในเรื่องนั้น ในระหว่างที่คุยกันว่าหัวหน้าวงเป็นซาโตชิดีไหม ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็กล่าวด้วยความสุขุมว่า "ผมเพิ่งเข้าร่วมวงนี้อย่างเป็นทางการ คิดว่ายังไม่ได้รับการยอมรับ จากนี้ก็คิดว่าจะพยายามต่อไป จริงๆ นะ ไม่ใช่เวลาที่จะหาแฟน ผมเดิมพันไว้กับวงนี้นะ" พวกเรารับฟังถ้อยคำเหล่านั้นอย่างเชื่อมั่น
ไลฟ์ครั้งแรกของสมาชิก 4 คนนี้ที่Club24West ในโยโกฮาม่า เกิดเรื่องวุ่นวายต่างๆ นานา ผมอยู่ในช่วงเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยพักงานชั่วคราว สมาชิกวงที่เพิ่งเข้ามาใหม่กับRADที่เพิ่งจะฟื้นคืนชีพ ด้วยเหตุนี้ผู้ชมก็มากันเยอะทีเดียว แต่ก็เป็นไลฟ์ที่ตอบสนองความคาดหวังของผู้ชมได้ไม่มากนัก เหล่าสมาชิกในวงก็กลุ้มใจ หมดกำลังใจไปตามๆ กัน แต่เพราะว่าต้องกล่าวคำขอบคุณกับบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องก็เลยพากันขึ้นเวทีเพื่อจบการแสดง คุวะกับทาเคดะต่างก็พูดถึงจุดที่ต้องพิจารณาตัวเองหลายๆ จุดอย่างเจ็บใจ ตัวผมเองก็เปิดใจสารภาพความคิดที่ขี้ขลาดของตัวเองต่อ 2 คนนั้นอย่างสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นคือเกิดความรู้สึกว่าเป็นวิกฤตขึ้นมาซะแล้ว
ผมต้องรับผิดชอบที่ลาก 2 คนนั้นเข้ามาพัวพันด้วย เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว อยากเขียนเพลงดีๆ จะทำให้สุดความสามารถ จะเขียนเพลงที่ไม่มีใครเขียนได้ อยากเป็นวงที่เล่นสดได้ดีกว่านี้ จะทำตามความคิดเหล่านั้นใหม่อีกครั้ง
พอมองผ่านไปรอบๆ ไม่เห็นเงาของซาโตชิเลย ผมอยากมีความรู้สึกนี้ร่วมกันกับซาโตชิด้วย นั่นสินะ เจ้าหมอนั่นยิ่งมีความคิดที่มุ่งมั่นเดิมพันกับไลฟ์ครั้งนี้มากกว่าใคร ยังไม่ถูกยอมรับในฐานะสมาชิกของRAD เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ ไม่มีหน้าออกมาเจอหรอก คงกล่าวโทษตัวเองไปแบบนั้นแน่ๆ หรือว่าอาจจะกำลังร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ สมาชิก 3 คนที่เหลือจึงช่วยกันออกตามหาเขาในLive House แล้วก็เจอจนได้ เจอเขาอยู่ในห้องพักหลังเวที แต่ว่าท่าทางดูแปลกไป
ในห้องพักหลังเวทีนั้นมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชมที่มาดูการแสดงวันนี้ แล้วก็ยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของทาเคดะ ทั้งสองคนทำอะไรกันอยู่ไม่รู้แต่พูดคุยกันสนุกสนานออกรสอย่างเป็นกันเอง ใกล้ชิดกันมาก ไม่มีช่องโหว่ให้พวกเราได้แทรกตัวเข้าไปเลย พอทาเคดะก้าวเข้าไปในห้องหลังเวทีทำท่าว่าจะส่งเสียงเรียก ก็มีคำพูดหนึ่งดังขึ้นมาว่า"เฮ้ย ไปทางนู้นเลยไป" (ทำท่าโบกมือไล่พร้อมกับพูด"ชิ่วชิ่ว")
ผมได้เห็นทาเคดะที่กดกลั้นอารมณ์โกรธสุดๆ เอาไว้ในตอนนั้นเอง ผมกับคุวะก็ได้แต่หัวเราะไปด้วยในใจพลอยคิดไปว่า"อืม สงสัยต้องหามือกลองคนต่อไปไว้ซะแล้ว" ในวันนั้นทาเคดะหัวร้อนจริงจังมาก
แต่ว่าผลสุดท้ายผู้หญิงที่จู๋จี๋ในห้องหลังเวทีนั้น ได้กลายมาเป็นเจ้าสาวของเขาในวันนี้ ช่างเป็นผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้วซาโตชิเป็นคนที่ตรงไปตรงมาครับ ตอนที่เหลิงนี่กลายเป็นเท็งงูไปเลย ส่วนตอนที่กลุ้มใจก็กลุ้มใจยิ่งกว่าใคร คนที่ทำให้ผมโกรธมากที่สุด คนที่ผม-ทำให้ร้องไห้มากที่สุด คนที่ได้รับกำลังใจจากคำพูดเหล่านั้นมากที่สุดก็คือซาโตชินั่นเอง แต่ว่าซาโตชิเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ นะ ถึงจะเป็นคนซื่อๆ มาจนถึงตอนนี้ แต่ก็ขี้อ้อนและมีจุดที่ไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี-เยอะอยู่เหมือนกัน ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของคนๆ หนึ่งอย่างใกล้ชิดแบบนี้มากนัก เขาค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น ค่อยเป็นลูกผู้ชายขึ้นมาหน่อยในความหมายที่ว่าเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในบรรดาสมาชิกวง 4 คนนี้ คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดก็คือซาโตชินั่นเอง จากนี้ก็จะขอพึ่งพานายต่อไปนะ
------------------------------------------------
*กลอง 2 กระเดื่อง วิธีตีกลองชุดจะใช้เท้าทั้งสองข้างในการตี ท่าทางน่าเกรงขาม
------------------------------------------------
// เป็นอย่างไรบ้างคะ ได้รู้จักกับสมาชิกวงRADWIMPS เพิ่มขึ้นบ้างไหมคะ ถ้าอยากรู้จักโนดะ โยจิโร่ คนที่เป็นทั้งร้องนำและแต่งเนื้อร้อง&ทำนองเพลงให้วง เราเคยแปลบทสัมภาษณ์ที่เขาได้รับรางวัล GQ MEN OF THE YEAR 2017 ไว้ที่นี่ ถ้าสนใจเชิญอ่านได้นะคะ แล้วถ้าอยากทำความรู้จักเพลงของRADWIMPS มากกว่านี้ ลองเข้าไปดูที่นี่ได้ค่ะ เราแปลเพลงบางส่วนไว้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้มากๆ เลยค่า
// Edit เพิ่ม-2018-05-21 : ตื่นเช้ามาพบว่ากระทู้ติดเทรนด์ด้วย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะค้าา ถ้าสนใจอยากรู้จัก RADWIMPS มากขึ้น มี Facebook Fanpage ของแฟนคลับชาวไทยด้วยนะคะ ติดตามข่าวสารกันได้ที่นี่เลยค่ะ
แล้วก็ข่าวดีมากๆ อีกหนึ่งข่าวคือไม่กี่วันก่อน Avalon Live ประกาศว่าจะพา RADWIMPS มาแสดงคอนเสิร์ตที่ไทยในเดือนสิงหาปีนี้ด้วยล่ะค่ะ ถ้าใครสนใจ เตรียมเก็บเงินไว้ แล้วไปมันกันได้ค่ะ วงนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน รับรองความคุ้มค่าคุ้มราคาบัตรค่ะ (ขายของซะเลย555)
------------------------------------------------
Credits : แปลจากหนังสือ ラリルレ論 หน้า 6-16 ที่เขียนโดยโนดะ โยจิโร่ นักร้องนำวงRADWIMPS
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in