K's part;
บางทีสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดมากกว่าความรู้สึกเจ็บปวดคือความรู้สึกว่างเปล่าหรือเปล่า
เสียงกาน้ำชากรีดร้องตัดผ่านความเงียบในอากาศ จากตรงนี้ผมมองเห็นควันพวยพุ่งออกมาจากกาน้ำร้อน เหม่อมองอยู่พักหนึ่งถึงได้ระลึกได้ว่าผมควรปิดแกสมากกว่ายืนมองมันกรีดร้องเสียงดังแสบแก้วหู
ผมเทน้ำเปล่าลงบนแก้วมัคที่มีเมล็คกาแฟสำเร็จรูปอยู่ในนั้นปริมาณหนึ่งช้อนชา กลิ่นของกาแฟที่ละลายน้ำหอมกรุ่นชวนให้ยกขึ้นดื่ม รสชาติขมปร่าของกาแฟไหลลงคอ—ห่วยสิ้นดี ไม่ขมเกินไปก็จืดเกินไป ช่วยไม่ได้ อยากมีโอกาสซดกาแฟนุ่ม ๆ ละมุนลิ้นเหมือนกัน แต่เศรษฐกิจอย่างนี้ ค่าบ้าน ค่าของใช้ที่พุ่งขึ้นพรวด ๆ แต่ค่าแรงยังย่ำอยู่ที่เดิมนี่อีกล่ะ ดื่ม ๆ ไปเถอะ กาแฟห่วยแตกที่ราคาแค่ห้าดอลล่าห์ แต่ชงได้สามสิบครั้ง ประทังความอยากได้เป็นเดือน
ผมทรุดตัวนั่งที่โซฟา มองงานที่ยังทำไม่เสร็จแต่ไม่มีแรงทำด้วยสายตาว่างเปล่า
ผมเป็นเพื่อนสนิทกับความว่างเปล่า
จะว่าอย่างไรดี—ผมเรียนรู้ความรู้สึกพวกนั้น รัก โลภ โกรธ หลง ทว่าทุกคำไม่สามารถบรรยายความกลวงเปล่าข้างในจิตใจนี้ได้
ในตอนที่พ่อเสีย ผมเรียนรู้ที่จะต้องเข็มแข็งเพื่อแม่ แต่จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองมีโอกาสได้เสียใจจริง ๆ สักกี่หน ทุกอย่างถูกกดทับด้วยความรู้สึกว่า ไม่เป็นไร—มันจะไม่เป็นไร
ในตอนที่แม่จากไป ตอนที่รู้สึกว่าต้องอยู่คนเดียวอย่างแท้จริง ความหวูบโหวงถาโถม แต่มันไม่ใช่ความเศร้าในความรู้สึกของผม
มั้ง
มันเป็นความรู้สึกว่าง
ก็แค่ว่าง
อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก
เพียงกระพริบตา เด็กชายที่คอยท่องคำว่า อดทน เอาไว้ในใจกลับกลายมาเป็นคนที่ว่างเปล่าจนหมกอาลัยตายอยากอย่างนี้ได้ยังไงไม่รู้
วางใจเถอะ ผมยังไม่มีความคิดจะจากไปไหนเร็ว ๆ นี้
การจากไปไม่ใช่คำตอบ .... ใช่มั้ยนะ
ไม่รู้สิ แค่ — ถ้ามีอะไรสักอย่างเหนี่ยวรั้งกันไว้ก็คงดี อะไรก็ได้ ความสุข รัก ความอยาก ความปราถนา บางอย่างที่ยุ่งยาก ยุ่งเหยิง พันไปพันมาจนหาทางออกไม่เจอ อะไรก็ได้ก็คงจะดี
ผมปราถนาจะอยู่ในโลกใบนี้ ขอเพียงอะไรสักอย่างที่ยึดเหนี่ยวได้
อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ความว่างเปล่าแบบนี้
ยามสายเป็นเวลาที่ผมต้องมาถึงร้าน มันเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ที่แอบอยู่ในใจถนนเล็ก ๆ ในดาวน์ทาวน์ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยขึ้นชื่อของที่นี่ ผมเสิร์ฟอเมริกาโน่เย็นให้ตัวเอง—เป็นกาแฟแก้วที่สองของวัน เปลี่ยนไปใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำ รอคอยลูกค้าอย่างใจจดใจจ่อ รอยยิ้มถูกวางขึ้นประดับริมฝีปาก เป็นเครื่องหมายการค้าที่มักจะตกเด็ก ๆ หรือไม่ก็ผู้หญิงสูงวัยได้เสมอ
“หนูคาเวห์ วันนี้ก็น่ารักอีกแล้ว”
มันมักจะเป็นประโยคนี้ แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าหนูคาเวห์ของใคร ๆ เต็มไปด้วยความรู้สึกซังกะตาย แต่มันยากเกินไปที่จะไปทำลายวันดี ๆ ของพวกเขาด้วยใบหน้าเฉยชาและความอึมครึมที่ก่อตัวเหมือนพายุฝนในใจ
เพราะอากาศอึมครึมของเช้าวันนี้ทำให้คนออกมาเดินเล่นข้างนอกน้อยกว่าปกติแม้ว่าพยากรณ์จะไม่ได้แจ้งเอาไว้ว่าฝนจะตก—ได้โอกาสจัดการรดน้ำต้นไม้ที่วางเอาไว้ทั่วร้าน ขณะที่เพื่อนร่วมงานอย่างไทนาริทำกำลังง่วนอยู่หน้ากระทะ กลิ่นเนยหอมฟุ้ง
“กินไหม”
เสียงตะโกนดังมาจากเคาน์เตอร์อีกฟากหนึ่ง และเป็นผมที่ตะโกนตอบไปว่า ‘เอา’ ทั้งที่ยังง่วนอยู่กับต้นไม้ตรงหน้า ใบมันเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลืออย่างใบใกล้ตาย—นั่น ไม่ต่างอะไรไปจากผมเลยใช่มั้ย ความรู้สึกที่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลจากความตาย—รึต้องเรียกว่าเฉา—ผมใช้ดวงตาสีแดงที่ถอดแบบออกมาจากพ่อเหมือนลอกกันมามองมันเงียบ ๆ ขณะที่คิดว่าควรทำอย่างไรกับมันดี เสียงกระดิ่งดังกรุ้งกริ้งขัดความคิดในหัวเสียก่อน
เขาเป็นผู้ชายตัวสูง อันที่จริงสูงกว่าผมเสียอีก
ดวงตาเป็นเฉดสีหนึ่งของสีเขียว ไม่ลุกลี้ลุกลน ดูมั่นคงเป็นอย่างมาก แถมยังหล่อเหลาเสียจนผมเทียบไม่ติด นัยน์ตาคู่นั้นมองจ้องลงมาตอนที่ผมถามว่า ‘รับอะไรดีครับ’ ก่อนที่คำว่า ‘อเมริกาโน่เย็น’ จะหลุดออกมาจากปากหยักคู่นั้น
เขาเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของร้านข้างต้นยางอินเดียที่เจ้าของร้านสุดหวงแหน ผมกลับมาชงกาแฟ—แผ่นหลังคู่นั้นยังคงตราตรึง ลูกค้าคนนี้มีร่างกายที่สวยมาก กล้ามเนื้อที่โผล่ออกมาจากเสื้อยืดเป็นมัด แม้กระทั้งกล้ามเนื้อแผ่นหลังยังสามารถเห็นจากเสื้อยืดสีขาวของเขารำไร ถ้าหากได้เขาเป็นนายแบบฝึกอนาโตมี่ก็คงดี ช่วยไม่ได้ นิสัยอยากสเก็ตสิ่งสวยงามมันติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ ส่งต่อมาจากความรักต่อการวาดรูปของแม่มาจนถึงเด็กชายคาเวห์วัยสามขวบที่คลานเต๊าะแต๊ะ หยิบสีเทียนของแม่มานั่งขีดเขียนไปเสียทุกที่ให้เธอระอาใจ
ผมเสิร์ฟกาแฟให้คุณลูกค้าที่ไม่เคยเห็นหน้า เขาพยักหน้ารับทีหนึ่งก่อนคว้ามันขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ผมทันเห็นบนโต๊ะ มันเป็นหนังสือ—ดูคล้ายจะเป็นหนังสือเรียน—ปรัชญางั้นหรือ—ผมไม่ใช่พวกที่จะอยากทำความเข้าใจเรื่องที่จับต้องไม่ได้พวกนั้น แต่บางครั้งการนั่งคิดอะไรที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้นั่นก็สนุกดีเหมือนกัน แต่เอาเถอะ มันไม่ใช่ท็อปปิคสำหรับคนที่กำลังดิ้นรนเพื่อจะมีชีวิตรอดอย่างผมหรอก
หากมานั่งคิด คำถามง่าย ๆ อย่าง อะไรคือความสำคัญของชีวิต แค่นี้ก็ทำให้ใจห่อเหี่ยวไปเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว สังคมที่อยู่ สภาวะแวดล้อม การเงิน ชีวิตของมนุษย์ดิ้นรนในวันพรุ่งนี้ พวกนี้ยังทำให้เศร้าไม่พออีกหรือ
ผมว่าผมติดนิสัยชอบเหม่อมามากเกินไป ไม่รู้ตัวเลยว่ายืนอยู่ตรงนี้มาเกือบนาทีแล้ว จนกระทั่งสายตาคู่นั้นตวัดมองนั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกตัว
“มีอะไร”
มนุษย์ไม่ลงท้ายว่าครับ—ความรู้สึกประทับใจต่อคนคนนี้ติดลบไปสามสิบเปอร์เซ็นต์
“เปล่าครับ สนใจหนังสือคุณน่ะ” ผมตอบว่าเปล่า แต่วินาทีต่อมาก็เพิ่มเข้าไปอีกประโยคหนึ่ง—ไม่เป็นธรรมชาติมาก ผมหมุนตัวกลับเคาน์เตอร์
ครึ่งวันก็แล้ว ผู้ชายคนนี้ยังคงนั่งอยู่กับอเมริกาโน่แก้วที่สองและหน้าหนังสือที่เปิดไปได้จำนวนหนึ่งกับผมที่ทำงานของผมไปเรื่อย ท่ามกลางเพลงรักที่เปิดคลอ
อะไรดลใจให้ผมแวะสวนสาธารณะตอนสี่โมงครึ่งก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีหรือเพราะว่าความอยากของเย็นมันตีตื้นขึ้นจนต้องแวะที่ที่โปร่ง ปลอดคนและเด็กเพื่อแท่งสี่เหลี่ยมอัดนิโคตินจากซองเขียวขาวรสมิ้นต์รสโปรด ผมกำลังละเลียดรสมิ้นต์ในมือระหว่างที่เพลงโปรดกำลังเล่นช้า ๆ อยู่ในแอปสีเขียว
ข้อความจากแอปที่คุ้นเคยแจ้งเตือนเรียกความสนใจ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยังไม่ลบมันอีก ทั้งที่ไม่ได้สนใจมันขนาดนั้น ไม่ได้อยากรู้จักใครใหม่ รักครั้งเก่าก็เฮงซวยใช้ได้ เข็ดขยาดไปอีกนาน พออยากจะเริ่มใหม่ก็ดันหมดแรงกับชีวิตจนไม่อยากคุยกับใคร
นิ้วมันเผลอกดเข้าไปจนได้
ผมแมชกับคนหลายคน แต่ไม่ยักจะสนใจ ปล่อยให้เวลามันหมดมันจะได้ยกเลิกการจับคู่ให้เอง ไม่รู้ว่าทำทำไมเหมือนกัน บางทีอาจจะเพราะยังอยากรู้สึกว่ามีคนมาสนใจชีวิตที่เบื้องหลังมีแต่เรื่องซังกะตายก็ได้ ความรักที่เป็นการลงทุนไม่คุ้มเสี่ยง ไม่แปลกใจสักนิดที่โลกนี้จะมีแอปพลิเคชั่นหาคู่ ความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องแลกด้วยความรัก ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องลงทุนอะไร ดูยังไงก็ง่ายกว่าความรักชัด ๆ
แล้วทำไมบางคนถึงยังไม่พอใจนะ
นิ้วผมชะงักค้างตอนที่โปรไฟล์ของคนที่หน้าตาคุ้น ๆ เด้งขึ้นมาด้วยพลังอัลกอรึทึ่ม—ไม่ใช่คนอื่นไกล เขาคือคนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่และเพิ่งลุกออกไปไม่เกินครึ่งชั่วโมงก่อน
ถ้าได้มาเป็นแบบฝึกอนาโตมี่คงดี
เพราะเหตุผลนั้นถึงได้ปัดแมชไปอย่างไม่คิดอะไรมาก
ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า
วันนี้ก็ยังเป็นวันที่เฮงซว—ว่างเปล่าเหมือนเดิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in