*ไม่ใช่รีวิวแต่สปอยล์เนื้อหาสำคัญ 100%*
*เต็มไปด้วยมุมมองและการตีความส่วนตัว หากตรงไหนผิดพลาด ชี้แนะได้เลยนะคะ*
ถึงแม้ว่าซีซั่น 2 ของ Stranger จะไม่เน้นการเปิดโปงการทุจริตที่หยั่งรากลึกลงไปในระบบราชการ
แต่กลับมาโฟกัสในเรื่องเล็กๆน้อยๆของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่เป็นต้นตอของการคอรัปชั่นต่อไปได้
ธีมของซีซั่นนี้เลือกเสนอผ่านความคลุมเครือ ความไม่ชัดเจนของความเป็นไปเป็นมาในแต่ละคดี
เช่น คดีนักศึกษาจมน้ำ ผ่านซีนหมอกลงจัดจากอุบัติเหตุ สู่ฆาตกรรมคดีสายตรวจ
ที่ไม่รู้เป็นการฆ่าตัวตายเองหรือการฆาตกรรมเพื่อปิดปาก หรือคดีหลักที่สร้างไดนามิกให้กับซีซั่นนี้
อย่างการหายไปของซอดงแจ ผู้เกี่ยวข้องกับคนนั้นคนนี้มากมายจนหาสาเหตุการหายตัวไปได้ยาก
ไปสู่ธีมหลักของเรื่อง “คนที่เลือกจะนิ่งเงียบล้วนแต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด” เบื้องหลังของคดีเหล่านี้
ล้วนมาจากคนที่รู้ว่ามีปัญหาแต่ไม่ได้ช่วยแก้ คดีนักศึกษาจมน้ำแย่ลง เพราะครูไม่คิดช่วยแก้
แต่กลับทำให้ปัญหาบานปลาย หรือคดีสายตรวจรับสินบน หัวหน้าเป็นคนเริ่มต้นออกความคิด
แต่แล้วเพียงครั้งเดียวที่อ้างความจำเป็น กลับกลายเป็นการเสพติด และคดีซอดงแจหายตัว
การสร้างหลักฐานเท็จเพื่อให้รูปคดีไขว้เขวและหาตัวซอดงแจไม่เจอ(ปล่อยให้ตาย)
แบบนี้อาจเรียกได้ว่ามีเจตนาเดียวกับอาชญากรที่เป็นคนลงมือด้วยหรือเปล่า?
อีกนัยหนึ่ง “คนที่เลือกจะเงียบล้วนแต่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด” ตามเซตติ้งของตัวละครในเรื่อง
ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายโดยตรง การเลือกที่จะนิ่งเฉยหรือเล่นตามน้ำสามารถเชื่อมโยงไปสู่การประพฤติมิชอบในหน้าที่หรือการคอรัปชั่นได้ด้วย ทั้งคดีทนายหัวใจวาย หรือคดีลูกชายส.ส.พัวพัน
ยาเสพติดทั้งเชวบิทและฮันยอจินได้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตำรวจที่ควรจะทำคือการดำเนินคดีตามกระบวนการ ด้วยเหตุผลว่าทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
ในกรณีนี้มันน่าสนใจตรงที่หลายๆปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบราชการ รวมไปถึงการคอรัปชั่น
เกิดจากการใช้อำนาจและดุลยพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เอง
(รวมทั้งการรับรู้แต่เลือกที่จะอยู่เฉยๆด้วยเช่นกัน) ซึ่งอาจเป็นอย่างที่ฮวังชีมกได้แสดงความคิดเห็น
ในที่ประชุมว่าปัญหาการแบ่งขอบเขตอำนาจมันอาจจะไม่ได้สำคัญ
การที่ระบบจะดีขึ้นได้ มันขึ้นอยู่กับการประสานงานซึ่งจำเป็นต้องต่อเนื่องกันเป็นระบบเดียว
ถ้าการใช้อำนาจและดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ในระบบกระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างถูกต้อง
คงไม่มีปัญหาให้แต่ละหน่วยงานเอามาอ้างเพื่อแย่งชิงสิทธิ์การใช้อำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย
ในที่นี้อาจฟังดูเป็นมุมมองแบบอุดมคติมากไป ซึ่งการมีคนกลางหรือการตรวจสอบการใช้อำนาจเหล่านี้อาจมีความสำคัญมากกว่าหรือเปล่า?
ว่าด้วยเรื่องการคอรัปชั่นและการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ
บนพื้นฐานของเหตุและผล การใช้อำนาจในการตัดสินใจ หรือ การอำนาจในการใช้ดุลยพินิจ (Discretionary power) เกี่ยวข้องกับการคิดถึงผลที่จะเกิดจากการตัดสินใจ
มากกว่าทางเลือก 1, 2 หรือ 3 สำหรับการตัดสินใจ ซึ่งแม้ว่าในความเป็นจริงการใช้อำนาจนี้
ควรต้องมีเหตุผลที่ดีรองรับและเป็นไปตามหน้าที่โดยสุจริต (Galligan,1990,p.7)
แต่ในทางตรงกันข้าม การตัดสินใจใช้อำนาจเหล่านี้อาจมีจุดประสงค์ที่คาดหวัง
หรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อื่นที่ไม่ใช่ผลประโยชน์สาธารณะตามหน้าที่โดยสุจริตก็ได้
โดยปกติแล้วการกระทำผิด ถ้าไม่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบแบบไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
การตัดสินใจกระทำผิดก็เป็นกระบวนการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผล
โดยคิดถึงค่าของการกระทำและผลที่จะได้รับก่อนตัดสินใจลงมือทำ (Bunn et al., 1992)
ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่า การคอรัปชั่นจะเกิด เมื่อผู้กระทำตัดสินใจแล้วว่าผลที่ได้นั้นจะคุ้มค่ากับความเสี่ยง
ในกรณีของ Stranger ss 2 ก็ยังคงเน้นไปที่การคอรัปชั่นในระบบราชการ (Bureaucratic corruption)
ผู้สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ รวมทั้งมีอำนาจในการตัดสินใจและใช้ดุลยพินิจ
Bureaucratic corruption เกิดจาก เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจในการตัดสินใจและใช้ดุลยพินิจบนทรัพยากร (เช่น เงิน ข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ หรืออำนาจในการดำเนินงานต่างๆ ซึ่งรวมถึงการบริการประชาชน)
เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว (Marquette and Peiffer, 2018)
สำหรับตัวอย่างในเรื่อง หน่วยข่าวกรองช่วยปิดคดีลูกชาย ส.ส.เพื่อหวังผลประโยชน์อื่น
ทั้งที่ในความเป็นจริงควรจัดการดำเนินคดีทันทีโดยไม่สนใจว่าเป็นลูกใคร
ในกรณีนี้ ทรัพยากรของหน่วยข่าวกรองที่มีคือหลักฐานและข้อมูลด้านอาชญากรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ทั้งที่มีหลักฐานสามารถเอาผิดและดำเนินคดีได้ทันที กลับใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการต่อรอง
เพื่อผลประโยชน์อื่นซึ่งไม่ใช่ผลประโยชน์สาธารณะ
ในกรณีนี้สามารถเชื่อมโยงไปถึงทฤษฎีที่เกี่ยวกับการคอรัปชั่นได้ด้วย
Principal-Agent Theory
Principal-Agent Theory เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในองค์กรระหว่าง
Principal คือ ผู้มีหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งในกรณีนี้ถือว่า
หน้าที่สำคัญของตำแหน่งผู้บริหารในองค์กรของรัฐจะต้องรับผิดชอบต่อผลประโยชน์สาธารณะด้วย
และ Agent คือ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ผู้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะถือและได้รับข้อมูลมากกว่า Principal
ซึ่งหากข้อมูลที่มีของ Principal และ Agent ไม่เท่ากัน โดย Principal ไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วน
หรือตรวจสอบความบกพร่องในการปฏิบัติงานของ Agent ไม่พบ
Agent อาจใช้ข้อมูลที่ตนมีในการหาผลประโยชน์ส่วนตัวก็ได้ (Persson et al., 2012, p.452)
ซึ่งก็ถือเป็นการคอรัปชั่นนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ไปทำบัตรประชาชนแล้วเจ้าหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกินราคาปกติ
โดยไม่ออกใบเสร็จ ทำให้หัวหน้างานไม่สามารถตรวจสอบกลับได้
(หากไม่มีคนร้องเรียนแบบระบุตัว) เป็นต้น
แต่ในกรณีคดีลลูกชายส.ส.พัวพันยาเสพติด เชวบิทในฐานะ Principal เองกลับเป็นคนที่ไม่ดำเนินการ
แต่กลับนำข้อมูลนี้ไปให้ส.ส.เพื่อหวังว่าจะล็อบบี้ผลโหวตในสภาเพื่ออำนาจสืบสวน
ถึงจะอ้างว่าทำเพื่อองค์กร แต่หากทำสำเร็จ ก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อหน้าที่การงานในอนาคต
ซึ่งถ้ามองในแง่นี้ก็เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างแน่นอน
ดังนั้นในกรณีนี้ถ้าดูให้เป็น Principal-Agent Theory ตรงๆ
อาจดูไม่สามารถอธิบายถึงการแก้ปัญหาการคอรัปชั่นในองค์กรของรัฐได้
แต่หากมีภาคประชาชนมาเกี่ยวข้องเป็นปัญหา Double Principal–Agent อาจทำให้เห็นภาพชัดขึ้น
Double Principal–Agent Problem
Double Principal–Agent Problem เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
(ทั้งระดับสั่งการ/ควบคุมการปฏิบัติงาน และระดับปฏิบัติงาน) ใช้อำนาจในการตัดสินใจ
และดำเนินการที่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธาณะของประชาชน ไปหาประโยชน์ส่วนตัวแทน
ดังนั้น ในกรณีนี้ การคอรัปชั่นจึงเกิดขึ้นเมื่อภาคประชาชน
ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้ (Marquette and Peiffer, 2018)
เปรียบเหมือนมี Principal (ประชาชน) ซึ่งต้องคอยตรวจสอบ Principal (เจ้าหน้าที่รัฐ) และ Agent อีกที
เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธาณะของประชาชนจริงๆ
ซึ่งหากย้อนกลับไปเรื่องที่ฮวังชีมกเสนอในที่ประชุมเกี่ยวกับปัญหาคอรัปชั่นจากทั้งฝั่งอัยการและตำรวจ
ที่ทำให้เกิดประเด็นในการแย่งชิงอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายระหว่างกัน
ซึ่งต้นเหตุอาจมาจากทั้งระบบโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร หรือปัจเจกบุคคล
ทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยาก และบางครั้งอาจฟังดูเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
แต่การมีส่วนร่วมและการมีสิทธิในการตรวจสอบความโปร่งใสของการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
อาจมีส่วนช่วยให้ปัญหาคอรัปชั่นลดลง ตามหลักของ Double Principal–Agent Problem ก็ได้
ระบบ E-Government
ในตอนสุดท้ายที่จางกอนคุยกับหัวหน้าเชวฉากนี้ ช่วยสื่อได้ดีว่าระบบ E-Government
สามารถช่วยลดการคอรัปชั่นจากการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ได้
E-Government เป็นหนึ่งในวิธีการจัดการการคอรัปชั่น โดยเปลี่ยนระบบงานเอกสารที่จำเป็น
ต้องมีการติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน (Basu, 2004)
เมื่อดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ใดๆแทนการทำงานผ่านเจ้าหน้าที่ ก็จะช่วยลดโอกาสในการใช้อำนาจและดุลยพินิจต่างๆของเจ้าหน้าที่ลงไป ทำให้การใช้ระบบ E-Government ช่วยลดการติดสินบน หรือความจำเป็นต้องใช้คนกลางในการติดต่อดำเนินการต่างๆได้ รวมไปถึง
การช่วยให้เกิดการตรวจสอบความโปร่งใสของกระบวนการภาครัฐได้มากขึ้นด้วย (Chêne, 2016)
เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างที่เริ่มใช้ระบบ E-Government โดยเฉพาะในการจัดซื้อจัดจ้าง
ตั้งแต่ประมาณ ปี 2000 นอกจากจะลดการติดต่อโดยตรงระหว่างเจ้าหน้าที่จัดซื้อกับภาคเอกชน
ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการเรียกรับสินบนแล้ว ยังช่วยให้การแข่งขันประมูลจัดซื้อจัดจ้างเป็นธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบ GePS ซึ่งใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างออนไลน์นี้ ยังเปิดให้ประชาชนภายนอกเข้ามาสังเกตการณ์การประมูลและติดตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้แบบ real time (Iqbal and Seo, 2008)
แสดงให้เห็นว่า การใช้ E-Government ในกรณีนี้ ได้เชื่อมโยงไปถึงภาคประชาชนในการช่วยตรวจสอบความโปร่งใสของกระบวนการภาครัฐได้จริงๆ
อย่างไรก็ดี ระบบ E-Government อาจใช้ไม่ได้ผลเสมอไป ในบางกรณีที่ถึงแม้จะมีการใช้
ระบบ E-Government แต่ระบบไม่ดีหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะบริการประชาชนได้สะดวก
จนอาจจะต้องกลับไปพึ่งพาการติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่อีกเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการต่างๆ
ก็ไม่สามารถช่วยลดการติดสินบนลงได้ (Sivastava et al., 2016) ซ้ำร้ายอาจจะเสียค่าใช้จ่ายจากภาษี
ในการวางระบบ E-Government ไว้แล้วไม่ได้ใช้ ไม่มีคนใช้ หรือใช้ไม่ได้ไปอีก (ทำไมมันคุ้นๆ?)
.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ.ฺ
สำหรับซีซั่น 2 โดยส่วนตัวเราก็ยังชอบเหมือนเดิม เพียงแต่การลดความฉูดฉาดของคดีลงอาจจะทำให้ความน่าตื่นเต้นลดลงไปบ้าง คุณอัยการและผู้หมวดแทบไม่ได้ลงภาคสนามและแทบไม่มีฉากว่าความ
ในห้องพิจารณาคดีแบบซีซั่นแรกเลย ตัวละครหลักกลับมาทำงานในออฟฟิศ เดินตามหัวหน้าไปประชุมราบเรียบ เหมือนในชีวิตประจำวันปกติ แต่ก็มีบางส่วนที่ส่วนตัวเราคิดว่าดูไม่สมจริง อย่างเช่น
การประชุมที่ไร้วาระระหว่างอัยการและตำรวจ เหมือนถูกปูมาให้รู้อยู่แล้วว่าจะต้องพังและสุดท้าย
ต้องมีคนกลางมัน แอบไม่สมเหตุสมผลเลยที่เรื่องแบบนี้จะเจรจาได้โดยไม่มีคนกลาง
หรือคนเขียนบทตั้งใจจะจิกกัดกระบวนการวางแผนระดับองค์กรที่มีความสำคัญแบบนี้
ว่ามันไร้ประสิทธิภาพ แต่อาจจะคิดอีกมุมได้ว่า ถ้าต้องเสียเวลามาประชุมแล้วไม่ได้อะไรแบบนี้
นอกจากคนทำงานเตรียมข้อมูลจะเหนื่อยเปล่าแล้ว ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีก็เกิดค่าเสียโอกาสเหมือนกัน แทนที่คุณอัยการจะได้ไปทำคดีตามปกติ ต้องมานั่งหาข้อมูลและเข้าประชุมให้ปวดหัวเล่น หรือตั้ง Task Force ให้ผู้หมวดมาทำงานออฟฟิศตั้ง 2 ปี แต่สุดท้ายไมไ่ด้งานแถมโดนยุบหน่วยทิ้งอีกทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับอำนาจการคิดและตัดสินใจของผู้มีอำนาจในองค์กร การเมืองระหว่างองค์กรและปัญหาจากการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กร ซึ่งล้วนเป็นผลเสียที่ตกแก่ประชาชนทั้งสิ้น
สุดท้ายเหมือนใจความหลักของซีซั่นนี้ อาจจะอยู่ในบทสนทนาบนระเบียง EP 6 เรื่องเส้นกั้น
และฉากเลี้ยงส่งในตอนจบ ที่ผู้หมวดบ่นเรื่องเสียเวลาทำงานออฟฟิศมาเป็นปีแต่ภารกิจของหน่วยงานกลับเสียไปเพราะการคอรัปชั่นข้างใน ที่สู้เอาเวลาการทำงานภาคสนามไปจับคนไม่ดีมาลงโทษแทน
อาจมีประโยชน์มากกว่ารึเปล่า แต่ฮวังชีมกถามกลับว่า ทำไมคุณถึงคิดว่าทั้งสองอย่างมันไม่เหมือนกัน ระหว่างถ้าคนระดับผู้บริหารปฏิบัติที่มิชอบแล้วทำให้ผลของงานที่ควรจะเป็นมันผิดเพี้ยน
กับการจับคนไม่ดีมาลงโทษในฐานะเจ้าหน้าที่ภาคสนาม บทสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่คุยกันมันจบลงแค่นี้แล้วตัดไปแต่ถ้าลงมานั่งคิดดู สิ่งที่ผู้หมวดพูดก็ถูกมันอาจจะตอบโจทย์ความรู้สึกของคนทำงาน
แต่สะท้อนกลับไปที่บทสนทนาที่คุยกับบนระเบียงว่า
ในฐานะผู้รับใช้กฎหมายตามบทบาทหน้าที่ของทั้งคู่ เราต่างเป็นคนที่ต้องดูแลเส้นกั้นนั้น
หากมีเรื่องที่ผิดปกติ(ผิดกฎหมาย)เกิดขึ้น ถ้าหากได้รับรู้ก็ควรต้องลงมือจัดการตามหน้าที่ที่ควรต้องทำเราไม่สามารถห้ามหมอกลงจัดจนเป็นอุปสรรคต่อการดูแลเส้นกันได้
ในที่นี้อาจจะหมายถึงสถานการณ์รอบข้างซึ่งอาจจะเป็นรูปคดี ข้อผิดพลาดต่างๆในระบบการทำงาน
ที่ต้องรับช่วงต่อๆกันมา(จากเจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องจนถึงชั้นศาล) หรือแม้แต่การคอรัปชั่นของผู้มีตำแหน่งในระดับสั่งการก็ตาม สุดท้ายการทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามกระบวนการ
อาจเป็นสิ่งเดียวที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ควรต้องทำและสามารถเลือกทำได้ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่ตัวเองมี
--------------------------------------------------------------
ถ้าใครอ่านมาจนจบถึงตรงนี้ก็ขอบคุณมากนะคะ 55555555 เป็นบล็อกดองข้ามปี ที่เขียนไว้ครึ่งนึงตั้งแต่ปลายปี 2020 แต่โดนซีรี่ส์เชอร์รี่เมจิคโบกกลับไปติดเกาะญี่ปุ่น
ติดหล่มรักอยู่นานไม่ได้กลับมาสะสางบล็อกนี้เลยจนวันนี้
ทีแรกตั้งใจจะกลับมาเขียนช่วง Sisyphus: The Myth ฉาย แต่ก็ไม่ได้ทำ 555555
ช่วงนี้มีคนกลับมาพูดถึง Stranger ทั้งสองซีซั่น เลยทำให้ระลึกได้ว่า เขียนนี่ค้างไว้นี่นา
กลับมา Finish it แบบหนัง The Fountain (2006) แล้วในที่สุด
ขอย้ำอีกรอบว่าที่เขียนมาทั้งหมดเต็มไปด้วยมุมมองและการตีความส่วนตัว
หากตรงไหนผิดพลาด ชี้แนะได้เลยนะคะ
Reference
Basu, S., 2004.E‐government and developing countries: an overview. InternationalReview of Law, Computers & Technology, 18(1), pp.109-132.
Bunn, D.N., Caudill, S.B. and Gropper, D.M., 1992. Crime inthe classroom: An economic analysis of undergraduate student cheatingbehavior. The Journal of Economic Education, 23(3),pp.197-207.
Chêne, M., 2016. Literaturereview: The use of ICTs in the fight against corruption. In TransparencyInternational: Anti-corruption Resource Center.
Galligan, D.J., 2012. Discretionarypowers: A legal study of official discretion. Oxford University Press., pp.7.
Iqbal, M.S. and Seo,J.W., 2008. E-governance as an anti corruption tool: Korean cases. 한국지역정보화학회지, 11(2), pp.51-78.
Marquette, H. andPeiffer, C., 2018. Grappling with the “real politics” of systemic corruption:Theoretical debates versus “real‐world” functions. Governance, 31(3),pp.499-514.
Persson, A. andSjöstedt, M., 2012. State legitimacy and the corruptibility of leaders. In:Holmberg, S. and Rothstein, B., eds., Good Government. Edward Elgar Publishing., pp.191-209.
Srivastava, S.C.,Teo, T.S. and Devaraj, S., 2016. You Can't Bribe a Computer: Dealing with theSocietal Challenge of Corruption Through ICT. Mis Quarterly, 40(2), pp.511-526.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in