ผลงานเรื่องที่ 2 ของนักเขียน Lee Soo-Yeon ที่ติดตามมาจาก Stranger (Secret Forest)
เรื่องนี้เปลี่ยนจากเนื้อเรื่องจาก Stranger ที่เน้นสืบสวน มาเป็นเรื่องการทำงานในโรงพยาบาล
ด้วยเรื่องราวของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ซึ่งถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ซื้อไป ทำให้กลายเป็นกิจการในเครือ
โดยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการเข้ามาบริหารของตัวแทนจากบริษัทนั้น ผอ.โรงพยาบาล
ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ที่พนักงานทั้งหมดมุ่งหวังว่าจะช่วยปกป้ององค์กรจากการบริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มุ่งหวังผลกำไรทางธุรกิจกลับเสียชีวิตกระทันหัน ทำให้มีเรื่องวุ่นวายในการบริหารโรงพยาบาลเกิดขึ้น
ดูจบแล้วชอบอะไร
เรื่องนี้ต่างไปจากซีรี่ส์เกี่ยวกับโรงพยาบาลอื่นๆเพราะเรื่องการรักษาพยาบาล ดราม่าเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
เป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆเท่านั้น นักเขียน Lee Soo-Yeon ยังเขียนเรื่องสไตล์การเมืองภายใน
วิจารณ์ความเป็นไปในสังคมอยู่เหมือนเดิม เช่น ระบบการบริการโรงพยาบาลในเกาหลี ที่ดูเหมือนจะพยายามลดภาระการบริหารสถานพยาบาลโดยรัฐ ให้เป็นการบริหารแบบเอกชนมากขึ้นเพื่อการแข่งขันอาจจะช่วยให้คุณภาพการในการให้บริการดีขึ้น เหมือนพยายามลดขนาดภาครัฐให้เหลือแค่การควบคุมจากส่วนกลาง ลดการใช้ภาษีส่วนรวมในการบริหารโรงพยาบาลรัฐ แต่ในทางกลับกันโรงพยาบาลที่ควรเป็นการบริการโดยไม่แสวงหากำไรนั้น หากเป็นการบริหารโดยเอกชนซึ่งเป้าหมายหลักคือการทำธุรกิจ
เพื่อผลกำไรจะสามารถอยู่ ได้โดยที่คนไข้ได้รับบริการที่ดี ไม่ถูกกีดกันด้วยฐานะและไม่ถูกเอาเปรียบ
ได้อย่างไร เรื่องอิทธิพลของธุรกิจแบบ "แชโบล" ที่มีต่อสังคมในประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ใส่มาเต็มๆ
หรือประเด็นคนพิการ เป็นต้น
คาแรกเตอร์ตัวละครที่หลากหลายก็ยังคงมีอยู่ แต่ส่วนมากก็เป็นสีเทาเหมือนเดิม
เนื้องเรื่องยังเฉือนคมกันเหมือนเดิม แต่อาจจะไม่จัดเท่า Stranger เรื่องนี้ลดโทนลงมา ใกล้ตัวมากขึ้น
แกนเรื่องเลยเป็นเรื่องมุมมองการทำงานจากของคนสองฝ่ายคือ ผู้ปฏิบัติงาน กับ ผู้บริหาร
การสะท้อนภาพการทำงานในองค์กรที่เหมือนการจำลองภาพการเมือง
ตัวพระเอกมองภาพผู้นำที่ดีแบบที่ตัวเองต้องการไว้ในใจ
ที่ต้องเป็นคนที่น่านับถือ มีจิตใจดี อยากเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสิ่งใหม่ แต่ก็ต้องเข้มแข็งพอด้วย
แต่คนอื่นๆก็อาจจะชอบคนที่เก่งมีมาตรฐานในกรทำงานสูง แบบที่มั่นใจได้ว่าถ้าจะต้องผ่านคนนี้
ทุกอย่างต้องละเอียด แต่ก็อาจจะมีข้อเสียคือมาตรฐานที่สูงไปของเขาอาจจะไม่เปิดกว้างกับการทำงานกับคนจำนวนมากที่มีความสามารถแตกต่างกันไปในองค์กร หรือ คนที่อยากเป็นผู้นำเพราะต้องการ
ชื่อเสียง หรือหน้าตาทางสังคม ด้วยการถืออาวุโสและประสบการณ์ที่คิดว่ามีมากกว่า
หรือการทำงานในตำแหน่งบริหาร ไม่ได้แค่การบริหารงานให้มีคุณภาพ ยังต้องรับความกดดันรอบด้าน
ความเสี่ยงทั้งจากภายในภายนอก การบริหารคน ซึ่งการทำให้ทุกคนพอใจเป็นเรื่องยาก
ต้องจัดลำดับความสำคัญ ศึกษาเรื่องที่ไม่คุ้นเคย ต้องทำความเข้าใจ รู้ให้ทัน ปรับตัวให้เข้ากับโจทย์ใหม่ต้องคอยดูแลจัดการทุกสิ่งให้ได้ดี แต่ต้องไม่ลืมจรรยาบรรณในหน้าที่ด้วย ถึงจะเป็นผู้นำในอุดมคติได้เช่นกันกับอาชีพแพทย์ที่มีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้านที่สามารถตัดสินชีวิตคนไข้ได้
ก็เหมือนมีอำนาจที่เหนือกว่า แต่มีอำนาจแล้วก็ต้องใช้ แต่จะใช้เพื่อใคร และใช้ยังไงให้ดีและถูกต้อง
สุดท้าย ตราบใดที่เรายังอยู่ในระบบก็ต้องต่อสู้กันต่อไป การเปลี่ยนแปลงมันมีเข้ามาเสมอ
และเราก็ไม่มีทางรู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง มียุคมืดก็มียุครุ่งเรือง
มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป เรื่องไหนเกินกำลังจะจัดการก็ต้องปล่อยวางบ้าง
ตั้งใจทำงานหนักก็ดี แต่อย่าลืม work-life balance
ความเห็นส่วนตัว
เราไม่ได้อยู่ทีมหมอเย แต่อยู่ทีมประธานมาตลอด แม้บทจะปูมาให้เป็นฝั่งตรงข้ามเสมอ
เป็นตัวละครที่เหมือนคอยทำให้คนดูสับสนตลอดเวลาว่าตกลงยังไง เป็นกลางหรือไม่ดี?
ส่วนตัวอินกับบทนี้กว่าฝั่งหมอ อาจจะเพราะลักษณะงานตัวเองที่ทำให้พอเข้าใจ
อปป้าซึงอูยังเลือกบทแสดงออกน้อยจับทางยากแต่น่าประทับใจเหมือนเดิม
เรื่องนี้คาแรกเตอร์ตัวพระเอกเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยังคงความเป็นคนตัวเล็กในองค์กรที่คาดหวัง
ความเปลี่ยนแปลงและไม่อยากนิ่งอยู่เฉยๆเหมือนเรื่องก่อน
แต่เป็นคนธรรมดา อยู่ระดับกลางๆมากขึ้น เป็นหัวขบถที่ทำตัว Low Profile ไม่ได้เก่งเทพ มีชื่อเสียง เพื่อนเยอะหรือป๊อปปูลาร์อะไรพิเศษ (มีอย่างเดียวที่โดดเด่นเกินทุกสิ่งคือความหล่อ 5555555555)
(ไม่เหมือนอัยการฮวัง ที่รอบคอบมาก ขวางโลกนิดๆ เป็น Golden boy ของสำนักงานแต่ไม่เคยรู้ตัว)
ซึ่งเนื้อเรื่องก็พยายามปูปมดราม่าให้พอเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้อยู่ ก็เข้าใจได้
(อีกอย่างที่ชอบ คือ โรงพยาบาลนี้เป็นที่ทำงานที่ไม่เผือกเรื่องส่วนตัวกันดี น่านับถือ)
บางครั้งแอบรำคาญความมึนงง และวู่วามของพระเอกนิดหน่อย
ถ้าไม่มีผู้ใหญ่สนับสนุนก็คงลำบาก เหมือนเป็นสูตรของนักเขียนที่ชอบให้มีบทผู้ใหญ่คอยเป็นที่ปรึกษาให้ฝั่งพระเอก และประเด็นความสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้องในที่ทำงาน
ส่วนความเป็นไปในเรื่องก็ดูใกล้ตัวมากขึ้น ธรรมดามากขึ้น จุดที่ให้คิดให้ลุ้นยังมีอยู่ แต่ไม่ได้พีคมาก
มีส่วนที่ให้ผ่อนคลายในช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งก็ก็ดีเหมือนกัน
สิ่งที่ไม่ค่อยชอบ
อันดับแรก คือ เลิฟไลน์ 5555555 แค่รู้สึกว่ามันดูจงใจไป ตั้งใจใส่มามากไปนิด ในความเป็นจริงตามมาตรฐานซีรี่ส์เกาหลีคงมีน้อยเกินไปอย่างมาก แต่ความคาดหวังว่าจะมีแต่แรกคิดว่าน้อยกว่านี้
อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวมาก ที่ประทับใจจาก Stranger ที่เป็นแค่ความรู้สึกดีๆ ซึ่งปลายเปิดมาก
ว่าอาจเป็นแค่มิตรภาพที่ดี เป็นความสัมพันธ์แบบ Platonic หรือมีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต
ซึ่งในเรื่องแค่เปิดๆโมเมนท์ไว้ ตั้งใจให้ปลายเปิดแต่ดูแล้วรู้สึกดีมาก
สำหรับเลิฟไลน์ความสัมพันธ์ของหมอเยดูเยอะไปนิด เข้าใจได้แต่ไม่ค่อยอิน
ส่วนของประธานประทับใจกว่า ไม่ใช่เพราะอยู่ทีมประธานนะ 5555 แต่มันเข้ากับเพลงที่เลือกมาใช้ดี
พูดน้อยแต่เข้าใจ (โอ้ย เรื่องมากจัง) แต่โดยรวมโมเมนท์ต่างๆที่ให้ไว้ยังเฉยๆไปสำหรับเรายังไงไม่รู้
ต่อมาคือ เรื่องดราม่าตัวละคร ที่ชอบใน Stranger มากๆ เพราะไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้
ที่มีก็ไม่ฟูมฟายอะไร เลยรู้สึกคาดหวังนิดหน่อย แต่ถึงอย่างงั้นสำหรับ Life ก็ฟูมฟายน้อยมากๆ
ถ้าเทียบกับซีรี่ส์เกาหลีอื่นๆอยู่ดี แต่เข้าใจได้เพราะเรื่องมันเกี่ยวกับตัวคนมากขึ้น
ซึ่งบางทีการปูเรื่องดราม่าไว้ก็อาจจะจำเป็น เพื่อสร้างเหตุผลให้กับตัวละครและเสริมความเข้าใจให้คนดู
หรืออาจจะเป็นเงื่อนไขของทางช่องเองก็ได้ ว่าอาจจะต้องมีทั้งเลิฟไลน์ที่ชัดเจนระดับหนึ่ง
รวมถึงประเด็นดราม่าเรียกน้ำตาด้วย ส่วนตัวไม่ทราบว่าแนวของช่องไหนเป็นยังไง แต่มีคนบอกว่า
ถ้าฉายช่องนี้ก็อาจจะให้เป็นไปในแนวทางมาตรฐานของช่องก็ได้
โดยรวมแล้ว Life ก็ยังเป็นซีรี่ส์ที่ดูสนุก ตามมาตรฐานนักเขียนคนนี้เหมือนเดิม
แต่ดูง่ายขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น นักแสดงดีทุกคน โดยเฉพาะรุ่นใหญ่
อีดงอุกหล่อทุกฉาก ใส่ชุดไหนก็หล่อ แม้หน้าจะเพลียดูอดนอนสมกับการเป็นหมอ ER ทุกตอน
ยังคงอยากแนะนำให้ดูสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ดูซีรี่ส์เกาหลี
ส่วนใครที่ตามมาจาก Stranger เหมือนกันก็น่าจะชอบ
ทีมนักแสดงจาก Stranger มาสลับฝั่งจากเดิมในเรื่องนี้กันสนุกสนาน
(ปล. อย่าลืมดูให้จบนะ ตอน 16 เซอร์ไพรส์มาก)
สามารถรับชมได้อย่างถูกลิขสิทธิ์พร้อมซับไทยที่ Netflix นะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in