ฉันตื่นตาตื่นใจเพราะตัวเสาที่ค้ำวิหารไว้มีขนาดใหญ่เกือบสามคนโอบได้ ประติมากรรมฝาผนังและรูปสลักบนเพดานคือวิจิตรงงดงามมาก ฉันพยายามจะถ่ายรูปแล้ว แต่จนใจจริงๆที่ทุกอย่างมันมีขนาดใหญ่เกินจนล้นเฟรมกล้องไปหมด
ฉันเดินอย่างเพลิดเพลินถ่ายรูปไปเรื่อย ออกมาชมประติมากรรมขนาดนอกก็ยังสวย
รู้สึกตัวเบาอย่างยิ่งจนคิดว่าได้ ชิบละ! เดินเพลินไปจนลืมกระเป๋าใส่กล้องไว้ในวิหาร ฉันต้องวิ่งกลับเข้าไปหยิบมา ดีที่กระเป๋ายังอยู่ดีและไม่มีอะไรหายไป หลังจากเที่ยววิหารเอสน่าจนทั่วแล้ว ก็ถึงเวลาบอกลาวิหารแห่งนี้กันแล้ว พวกเราทะยอยเดินเท้าไปยังที่จอดเรือของเรา ขนกระเป๋าขึ้นรถบัสเพื่อมุ่งหน้าไปหุบผากษัตริย์กันต่อไป
The Valley of the Kings
หุบผากษัตริย์คือสมชื่อมาก เพราะทั้งหุบเขานี้เต็มไปด้วยสุสานขององค์ฟาโรห์ ตั้งแต่มีการค้นพบสุสานของตุตันคาเมนที่นี่ก็ดังเป็นพลุแตกยิ่งกว่าเดิม การจะมาเข้าชมสุสานที่นี่บางทีก็ต้องพึ่งโชคพึ่งดวงอยู่บ้าง เพราะสุสานที่นี่จะเปิดสลับๆกันไป แล้วแต่ว่าใครมาช่วงเดือนไหนจะได้ชมสุสานที่ต่างกันออกไป ซื้อบัตรใบหนึ่งสามารถเข้าชมสุสานปกติได้ 3 แห่ง แล้วแต่ว่าเราจะเลือกเข้าชมสุสานไหนก็ได้ที่เปิดอยู่ แน่นอนว่ามันต้องมีสุสานที่ไม่ปกติก็คือต้องจ่ายเพิ่มเพื่อชมสุสานแห่งนี้ต่างหาก ซึ่งก็คือสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนและเซติ ที่ 1 แน่นอนว่าไหนๆฉันก็มาแล้ว ฉันต้องไม่พลาดสักอย่าง!
จัดเต็ม!
สุสานแรกที่เราเข้าไปชมคือ KV14 ของ Tausert กับ Setnakhht ทางเดินลงสุสานทอดยาวลงไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางฝาผนังก็เป็นรูปสลักภาษาเฮียโรกลิฟฟิค รูปเทพเจ้า การทำพิธีต่างๆเพื่อส่งร่างขององค์ฟาโรห์สู่ชีวิตหลังความตาย ระหว่างทางบางทีก็จะเจอรูที่คนโบราณเขาเจาะเป็นห้องเอาไว้ทำพิธี ห้องเก็บสมบัติ ห้องวางโลงศพ ยิ่งเดินลงไปลึกเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกถึงความลึกลับของสุสานชาวอียิปต์มากขึ้น
ภาพสลักตรงห้องโถงในสุสาน KV14
สุสานที่สอง เป็นสุสาน KV11 ของฟาโรห์รามเสสที่ 3 (Rameses III) สุสานแห่งนี้มีกระจกกั้นฝาผนังเอาไว้เพื่อรักษาจิตรกรรมฝาผนังและพวกมือบอน ตลอดเส้นทางฝาผนังก็เป็นรูปสลักภาษาเฮียโรกลิฟฟิค รูปเทพเจ้าตลอดตามสเต็ป แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี เพราะรูปสลักสวยมาก น่าประทับใจ แม้สีที่ลงเอาไว่จะขาดๆหายๆไปบ้าง แต่นั่นไม่ได้บั่นทอนความสุขที่ได้เข้ามชมสุสานแห่งนี้เลย รูปสลักเทพเจ้าบนฝาผนังที่แกะไว้สูงเท่าตัวคนจริงๆ ไม่สิ สูงกว่าตัวฉันเสียอีก ฉันกับพี่สาวถ่ายรูปเสียเพลินไปหมดเพราะอยากเก็บเอาไว้ดูและย้อนกลับมานึกถึง เสียดายก็แต่ห้องปลายสุดของสุสาน ซึ่งเป็นเอาไว้วางโลงศพภายในกลับปิดเงียบ ไม่ได้ให้เข้าชม ฉันว่ามันน่าจะงดงามมากแน่ๆเลย
ห้องแห่งความลับ?
คณะของเราได้ปรึกษากันแล้วเห็นควรว่าเราควรรีบไปดูสุสานไม่ปกติที่เราจ่ายเงินเพิ่มดีกว่า จะได้มีเวลาดื่มด่ำกับสุสานเหล่านั้นและไม่ต้องรีบเดิน กว่าเราจะมาถึงหุบผากษัตริย์ก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆเข้าไปแล้ว ต้องไปเดินสุสานอื่นๆก่อนจะหมดเวลาเข้าชม จากนั้นฉันก็มุ่งหน้าไปยังสุสานตุตันคาเมนชื่อดังทันที ถ่ายได้แต่ข้างนอกเพราะเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายข้างใน
ในความคิดของฉัน ฉันคิดว่าสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนต้องยิ่งใหญ่อลังการมากแน่ๆ แต่พอมาเจอของจริงแล้ว ฉันรู้ว่ามันดูเล็กกว่าที่คาดเอาไว้มาก อันที่จริงฟาโรห์ตุตันคาเมน ยุวกษัตริย์ของอียิปต์องค์นี้ไม่ได้เก่งกาจสามารถอะไร แต่เป็นเพราะสุสานของพระองค์สามารถขุดออกมาได้สมบูรณ์อย่างมากต่างหาก ทั้งหีบเก็บโลงศพและศพของพระองค์คือสมบูรณ์ มีทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆและสภาพศพ แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ฟาโรห์องค์นี้ยิ่งดังขึ้นไปอีกก็คือเรื่องคำสาปจากสุสานของตุตันคาเมนนั่นเอง เล่ากันว่าเมื่อ 50 ปีที่แล้วที่เพิ่งขุดสุสานสานกัน บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการขุดสุสานนี้ ต่างพากันล้มตายด้วยสาเหตุการตายแปลกไปถึง 22 คน เชื่อกันว่าเพราะก้าวล่วงเกินความสงบของสุสานแห่งนี้นั่นเอง
"มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้รังควานความสันติสุขแห่งองค์ฟาโรห์"
แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แปลกๆดังกล่าว แต่คำสาปฟาโรห์ที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้มีจารึกเอาไว้ในสุสานแห่งนี้แต่อย่างใด หากเราคิดในแง่วิทยาศาสตร์แล้ว การที่ไปขุดสุสานที่ทับถมกันมาเนิ่นนานขนาดนั้น จะแปลกอะไรที่จะมีเชื้อโรคแปลกๆที่เราไม่เคยเจอกันมาก่อน
ฉันได้มีโอกาสมองตา ดูร่างมัมมี่ขององค์ตุตันคาเมนซึ่งอยู่ในโลงกระจกอย่างใกล้ชิดด้วย พระองค์ยังดูเด็กๆอยู่เลย แต่สภาพภายนอกก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ถึงแม้ว่าฉันจะเห็นเพียงพระเศียรและพระบาทที่โผล่ออกมานอกผ้าที่คลุมร่างพระองค์ไว้ก็ตาม แต่จากที่พี่โอ๊ตเล่าถึงสาเหตุการสิ้นพระชนม์คือน่าจะเป็นเพราะร่างกายของพระองค์น่าจะอ่อนแอเป็นหลัก อันเป็นผลมาจากบิดา-มารดาที่แต่งงานกันเองในหมู่พี่น้อง บ้างก็ว่าตกม้าขาหักจนติดเชื้อ บ้างก็ว่าเป็นมาลาเรีย แต่ยังไม่รู้สาเหตุที่แน่นอนของปริศนาข้อนี้ แต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่แนวคิดแรกสุดที่เสนอว่า พระองค์อาจจะถูก “อัย” ซึ่งเป็นขุนนางเฒ่าในรัชสมัยนั้นสังหารอย่างโหดร้ายแน่นอน
ความรู้ที่ได้จากพี่โอ๊ตอีกข้อคือ ร่างมัมมี่ขององค์ตุตันคาเมนไม่มีหัวใจ! ปกติการทำมัมมี่นั้นต้องควักเครื่องในออกมาเก็บไว้ในขวดโหล แต่หัวใจจะยังเก็บรักษาเอาไว้ในร่างตามความเชื่อว่า หัวใจเป็นศูนย์กลางความคิดและเป็นตัวแทนของความดี-ความชั่ว ที่ต้องใช้ชั่งกับขนนกในห้องตัดสินของเทพเจ้าโอซิริสในโลกหลังความตาย นักอียิปต์วิทยาส่วนหนึ่งจึงเสนอว่า บางทีการที่หัวใจหายออกไปจากร่าง อาจจะสนับสนุนแนวคิดที่ว่า องค์ตุตันคาเมนอาจจะสิ้นพระชนม์ไกลจากบ้านเกิด เพราะกว่าจะนำศพกลับมาทำมัมมี่ได้ หัวใจก็ได้เน่าเปื่อยไปก่อนแล้วนั่นเอง
เรายังคงไปมุดสุสานอื่นๆกันต่อไป
To be continued...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in