นอกจากนี้ ทางร้านยังเสิร์ฟซุปผักสีส้มๆเหมือนต้มยำกุ้งบ้านเรา แต่ไม่ได้มีเผ็ดจัดจ้านอะไรมาให้ทานแก้เลี่ยน ซึ่งมันก็ช่วยได้ดีระดับหนึ่ง รสชาติอร่อยใช้ได้ หรือเพราะฉันเป็นพวกลิ้นจระเข้ก็ไม่ทราบ แค่เป็นอาหารมีรสชาติฉันก็กินได้แล้วล่ะ
หลังจากอิ่มหนำกับอาหารเที่ยงกันแล้ว เราก็จะไปเที่ยวที่ถัดไป 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ฉันตั้งตารอคอยมานาน มหาพีระมิดแห่งกีซานั่นเอง อยากเห็นเป็นบุญตาเหลือเกินว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด...
ขณะที่รถคณะทัวร์เราชะลอลงอย่างช้าๆ จนกระทั่งจอดสนิท ฉันได้ยินพี่กิตติพูดว่า "เอ้า ถึงแล้วครับ" หัวใจฉันเต้นแรงขึ้น ฉันรู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดภายในกาย และเมื่อฉันลงจากรถ มหาพีระมิดแห่งกีซาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าฉันนี่เอง ยิ่งใหญ่ ตระการตา สูงราวกับยอดพีระมิดกำลังจะแตะที่แผ่นฟ้าผืนนั้นได้ ยิ่งเข้าใกล้ตัวพีระมิดเท่าใด ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวฉันหดเล็กลงเรื่อยๆ ตัวฉันช่างเล็กกระจิ๊ดริดเหลือเกินเมื่อมาพบกับความยิ่งใหญ่ตรงหน้า ขอคารวะสามจอกให้ชาวอียิปต์โบราณ นับถือๆ
1 of 7 Wonders of the World' : The Great Pyramid of Giza ✔
ระหว่างทางที่ขับรถมา ทางพี่กิตติได้เอ่ยเตือนถึงเหล่าพ่อค้าหาบเร่และคนในพื้นที่ อย่าได้ยื่นกล้องหรือให้เขาจับกล้องเราไปถ่ายรูปให้อย่างเด็ดขาด ถ้าคุณต้องการกล้องคืน คุณอาจจะต้องจ่ายค่าน้ำชาเล็กน้อยเป็นการตอบแทน หรือถ้าเขาทำท่าเป็นมิตรบอกถ่ายรูปคู่กับฉันไหม? ก็อาจจะต้องให้เงินนิดหน่อยเป็นน้ำใจ ไม่งั้นจะโดนท้วงบุญคุณเอาได้หนาว่าเราถ่ายรูปคู่กับคุณแล้วไม่มีสิ่งใดจะให้เราเลยหรือ? ทำใจเถอะค่ะ There is no such thing as a free lunch!
ด้วยความที่ฉันพูดภาษาอาราบิกไม่ได้ เวลาเจอพ่อค้าหาบเร่ตามสถานที่เที่ยวต่างๆ ที่พยายามเข้ามาขายของ ก็ปฏิเสธเซโนไปเลย ส่ายหน้าอย่างแข็งขัน 'ไม่ๆ ไม่ซื้อ' แต่ระหว่างที่จะเดินเข้าไปใกลพีระมิด ฉันเจอกลุ่มวัยรุ่นเขามาพยายามจะพูดด้วย ฉันก็นึกว่าเป็นพวกที่มาขอถ่ายรูปให้ ฉันกอดกล้องของฉันเอาไว้อย่างแน่นหนา ส่ายหน้าปฏิเสธท่าเดียว ฉันรีบเดินเข้าไปประกบคู่กับพี่สาว แล้วเราก็ถ่ายรูปชื่นชมสิ่งมหัศจรรย์ไปเรื่อย เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ แต่ฉันรู้สึกว่าวัยรุ่นกลุ่มนั้น เขายังเดินตามมา สุดท้ายทนไม่ไหว เลยเข้าไปคุยว่าต้องการอะไร พวกเขาบอกว่าแค่อยากถ่ายรูปคู่ด้วย ฉันได้แต่งงว่าจะมาขอถ่ายรูปคู่ด้วยทำไม ฉันไม่ใช่ดาราสักหน่อย อ้อ สรุปแล้วฉันเป็นของแปลกของคนที่โน่นนั่นเอง เขาชอบถ่ายรูปกับพวกนักท่องเที่ยวน่ะค่ะ ฉันใจอ่อนลง เลยถ่ายรูปคู่กับพวกเขาไป ใครอยากเป็นเซเลปฯ ให้ไปที่อียิปต์ค่ะ
หลังจากถ่ายรูปมุมใกล้พีระมิดจนพอใจแล้ว พี่กิตติบอกว่าทีนี้เราไปถ่ายมุมไกลหันบ้าง โดยจะเห็นมหาพีระมิดครบทั้ง 9 องค์ คณะเราจึงนั่งรถไปลงอีกที่หนึ่ง ภาพวิวมหาพีระมิดแห่งกีซาที่เห็นกลายเป็นวิวแบบพาโนรามาแทนเสียแล้ว ฉันว่าฉันโดนมนต์เสน่ห์ทะเลยทรายแห่งนี้ปัดเป่าเข้าเสียแล้ว พี่กิตติถามกับทัวร์เราว่าใครสนใจจะขี่อูฐบ้าง ฉันรีบยกมือทันที สรุปแล้วคณะเรามีคนอยากขี่อูฐตั้ง 15 คน มาแล้วก็ต้องลองทุกอย่างให้คุ้มค่าเนอะ
ฉันเจอน้องผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งฉันจะเรียกเขาว่า น้องไนกี้ (เพราะน้องเขาใส่หมวกไนกี้) น้องเดินนำฉันให้ไปนั่งอูฐที่ห้อยพู่สีสันสดใสของเขา เขายังมีแก่ใจหันมาบอกว่า "นี่ฉันเลือกตัวที่สีสวยที่สุดให้เธอเลยนะ" เมื่อฉันมองอูฐตัวอื่นๆ ก็เป็นจริงตามที่น้องเขาว่า ตัวอื่นไม่มีประดับพู่แบบที่มีสีสันเลย ฉันยิ้มให้เขา หลังจากนั้นฉันก็เริ่มปีนป่ายขึ้นไปนั่งบนตัวเจ้าสองโหนก ทันทีที่น้องเห็นฉันนั่งอย่างมั่นคงดีแล้ว ก็สั่งให้เจ้าสองโหนกลุกขึ้นยืน ฉันรู้สึกว่าหน้าฉันแทบจะทิ่มและกลิ้งตกจากหลังอูฐเลยทีเดียว เดชะบุญว่าจับเชือกทัน!
พู่สีๆของน้องน่ารักจังเลยลูก❤
เรารอจนกระทั่งทุกคนได้อูฐจนครบ น้องไนกี้สะกิดพลางส่งเชือกจูงของอูฐอีกตัวมาให้ ชี้บอกว่าให้คล้องกับตัวคล้องให้ที อูฐอีกตัวจะได้เดินตามได้โดยที่เขาไม่ต้องจูง กองคาราวานครบคนแล้ว ออกเดินทางได้!
โยกๆเยกๆไปมาบนหลังอูฐถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับฉันอย่างมาก ฉันเคยขี่แค่ควายเท่านั้นแหละ (ตอนไปเที่ยวนะ) เคยขี่อูฐกับใครที่ไหนล่ะ แต่ก็สนุกดี มาอียิปต์คราวนี้พี่สาวฉันตัดสินใจไม่ขี่อูฐ แต่ก็ขอเดินตามกองคาราวานอูฐอยู่ข้างหลังเพื่อถ่ายรูปมหาพีระมิดกีซามุมต่างๆให้หนำใจ ดีเลยพี่สาวจะได้ถ่ายรูปให้ฉันด้วย ก็เดินตามคาราวานอูฐแค่ 3 - 4 กิโลฯบนทรายเอง ไม่ไกลหร๊อก...
กองคาราวานของเราก็ไปถ่ายตามจุดถ่ายรูปต่างๆที่เขาว่าสวย ภาพมหาพีระมิดกีว่าค่อยๆปรากฎเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆทุกองค์ ฉันมองตาแทบไม่กระพริบ พยายามบันทึกภาพนี้ลงสมองอย่างสุดความสามารถ ถ้าร่ำไห้อย่างซาบซึ้งใจได้ก็คงทำไปแล้ว มันคุ้มค่ามากที่ได้มา! ขออวดรูปหน่อย...
ถ่ายช็อตนี้ได้ สวยละสิ❤
ฉันนั่งมองวิวไปเรื่อยๆ ฉันก็ลืมพี่สาวตัวเองไปเลย พอหันกลับมาอีกที กลุ่มคนที่เดินตามกองคาราวานมา ตอนนี้อยู่ข้างหลังลิบหลิ่วไกลๆออกไป น่าสงสารเสียจริง! แต่พี่มันก็เดินตามมาเรื่อยจนตามทัน ฉันเลยใช้นางถ่ายรูปให้ เป็นพี่น้องกันมันก็มีไว้ใช้งานในเวลาแบบนี้แหละ
พี่มันก็ถ่ายดีอยู่แหละ
น้องไนกี้ก็ถามฉันอยู่เรื่อย "Are you happy?" แน่นอน ฉันโคตรมีความสุขเลยตอนนี้ กองคารวานของเราเริ่มเข้าใกล้ตัวเมืองมาขึ้นเรื่อยๆ ในทึ่สุดก็มาถึงด้านหน้าของกีซา นั่นอย่างไรเล่า เจ้าสฟิงซ์ไม่มีจมูกอยู่ข้างหน้านี้เอง คณะเราเดินผ่าเข้าไปในตัวเมือง เห็นพวกเด็กเล็กโบกมือหยอยๆให้ ฉันก็โบกมือตอบราวกับตัวเองเป็นเซเลปฯก็ไม่ปาน
ลือให้แซ่ดว่าจมูกสฟิงซ์หายเพราะนโปเลียนใช้ปืนยิง แต่จริงๆแล้วจนป่านนี้ใครทำก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เลย
ถึงคราวที่ต้องลงจากเจ้าสองโหนก น้องไนกี้ผู้เป็นมิตรอย่างมากในตอนแรก หน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเครียดขมึงทึง จะเอาเงินทิปนั่นเอง โธ่ ฉันก็ว่าทำไมถามฉันตลอดทางเลยว่ามีความสุขไหม? ตอนแรกบอกว่าให้เท่าไรก็ได้ตามที่ฉันจะให้ ไปๆมาๆมีระบุมาเลยว่าจะเอาเท่านี้ ฉันเลยถามพี่กิตติว่าถ้าฉันให้ราคาเท่านี้สมเหตสมผลไหม? สุดท้ายเลยให้ทิปน้องไนกี้ไป 30 EGP บ๊ายบายนะน้องเอ้ย!
ตามตารางทัวร์ คณะเดินทางของเราต้องรีบกลับไปสนามบินไคโร เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองอัสวาน ตอนใต้ของอียิปต์ แม้การจราจรของกรุงไคโรในเย็นวันนั้นจะติดขัด แต่พวกเราก็ไปทันเช็คอินและรับบอร์ดดิ้งพาสกัน โดยคณะทัวร์เราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มผู้หญิง ซึ่งจะได้ไปกับเครื่องบินรอบสองทุ่ม กับรอบของพี่ๆผู้ชายที่ได้เครื่องบินรอบสี่ทุ่ม เนื่องจากตั๋วรอบสองทุ่มมีที่นั่งไม่เพียงพอ พี่โอ๊ตเลยขอให้พี่ผู้ชายทั้งหลายในคณะเสียสละให้ผู้หญิงได้ไปก่อน
หลังเช็คอินเสร็จก็ไปรับกล่องข้าวเย็น แถมยังต้องมาลุ้นอีกว่ากล่องข้าวเราจะผ่านเกทตรวจกระเป๋าได้หรือเปล่า พี่กิตติผู้นำคณะเลยต้องไปลองเชิงดูก่อนว่าจะผ่านไหม พอผ่านได้ก็นั่งรอขึ้นเครื่องแล้ว คุณพนักงานก็บอกว่ายังมีเวลาอยู่ให้ทานข้าวที่หน้าเกทนี่แหละ?! พวกเราได้แต่มองหน้ากัน เอาจริงดิ? ให้กินตรงนี้เลยเนี่ยนะ เอาไงก็เอา ทาน(เอ๊ะหรือยัด?)ข้าวกันอย่างรวดเร็วก่อนขึ้นเครื่อง
ฉันเพลียมาจากการเที่ยวมาทั้งวัน สลบแทบจะทันทีที่ได้นั่ง พนักงานบนเครื่องบินมาเสิร์ฟขนมให้ฉันก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนใกล้ถึงอัสวาน พอเครื่องลงฉันก็มองหาพี่สาวแต่หาไม่เจอเนื่องจากเราโดนแยกที่นั่งกัน สุดท้ายยังไงก็ต้องไปเจอกันที่ปลายทางเพื่อรับกระเป๋าอยู่ดี ฉันเลยขึ้นรถไปพร้อมกับพี่จ๋าและพี่กิตติ พี่ๆยังถามอยู่เลยว่าพี่สาวหายไปไหนละ ฉันก็ได้แต่บอกเขาว่า นางคงไปรอที่รับกระเป๋าแล้วละ พี่เขาว่า "เออ ทำไมพี่น้องคู่นี้มันรักกันจังเลยวะ นี่ไม่ห่วงกันเลยหรือไง?" จะให้ห่วงอะไรเล่า นั่งรถไปเดี๋ยวก็เจอแล้วค่ะคุณพี่
สุดท้ายเราได้รถมารับ พาไปโรงแรม City Max Hotel ถึงโรงแรมก็ราวๆสี่ทุ่ม กว่าจะอาบน้ำสระผม ซึ่งอันนี้เจ็บปวดอย่างมาก ตอนกลางคืนอากาศจะเย็นๆ แล้วเครื่องทำน้ำร้อนดันไม่ทำงาน อาบน้ำไปก็ตัวสั่นด้วยความหนาวไปพลางๆ พอออกมาถามพี่สาวว่าทนอาบได้ไงวะ นางบอกว่าตอนนางอาบน้ำร้อนก็ยังพอมีอยู่บ้าง นี่ฉันโชคดีเองหรือนี่?! กว่าจะได้นอนก็ปาไปห้าทุ่มครึ่งแล้ว หัวถึงหมอน ก็น๊อคไปตามระเบียบ เพราะนัดหมายพาไปเที่ยวพรุ่งนี้ ต้องตื่นตีสี่! ราตรีสวัสดิ์...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in