เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เสน่ห์ไอยคุปต์marmantin
Weirdo in Luxor
  • Colossi of Memnon

     

    หลังจากการเยี่ยมชมหุบผาราชินีที่ทิ้งความประทับใจไว้ในความทรงจำของฉันอย่างมากแล้ว ขากลับเราได้ไปแวะที่รูปสลักเมมนอน ซึ่งตั้งอยู่ออกไปไม่ไกลนักจากรถ รูปสลักหินฟาโรห์ยักษ์ใหญ่สองรูปตั้งตระหง่านมานานกว่า 3,000 กว่าปีแล้ว 

    ยักษ์แห่งเมมนอน

    ตอนแรกฉันไม่ได้สนใจมากนัก แต่หลังจากกลับมาลองมาเปิดอ่านข้อมูลเจ้ายักษ์แห่งเมมนอน นี้ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย สมัยก่อนบริเวณนี้ไม่ได้มีแค่รูปสลักเท่านั้น แต่ยังมีวิหารอยู่เบื้องหลังรูปสลักนี้ด้วยนะ ทั้งยังใหญ่ยิ่งกว่ามหาวิหารคาร์นัคเสียอีก แต่เพราะวิหารนี้จงใจสร้างไว้ในพื้นที่น้ำหลาก เพื่อให้สอดคล้องกับตำนานการสร้างโลกที่มีผืนดินผุดขึ้นมาจากท้องน้ำอันกว้างใหญ่ ทำให้น้ำที่เข้ามาท่วมในช่วงฤดูน้ำหลากทุกปีๆค่อยๆทำลายวิหารแห่งนี้ลงไปทีละน้อยไป จนเหลือเพียงรูปสลักยักษ์คู่หนึ่งไว้ดูเพียงต่างหน้าเท่านั้น เจ้ายักษ์คู่เมมนอนเองก็มีตำนานอยู่เหมือนกัน ก็เพราะว่ารูปสลักทั้งสองรูปนี้เคย “ร้องเพลง” ในยามอรุณรุ่งได้ด้วยน่ะสิ!

    เขาตั้งชื่อรูปสลักนี้ไว้ว่า 'เมมนอน' เพราะว่ามันสอดคล้องกับตำนานโรมันในอดีต เมมนอนคือบุตรของอีออส เทพีแห่งรุ่งอรุณ เขาเป็นวีรบุรุษในสมัยสงครามโทรจัน แต่สุดท้ายก็ถูกอคิลลิสสังหารในที่สุด เมื่ออีออสทราบข่าวร้ายว่าลูกชายของตนถูกฆ่าก็ร่ำไห้ออกมา 

    แล้วรูปสลักนี้มันร้องเพลงได้อย่างไรกัน? ตามที่นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกได้บันทึกเอาไว้ว่า ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวจนทำให้รูปสลักของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 สองรูปนี้เกิดรอยแตกระหว่างก้อนหินขึ้น หลังจากนั้นเป็นต้นมารูปสลักนี้ก็เริ่มที่จะ “ร้องเพลง” เป็นครั้งแรก สมัยนั้นก็ยังไม่รู้จักวิทยาศาสตร์กันหรอก ก็ต้องเชื่อมเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ เรื่องไสยศาสตร์แทน เลยเชื่อมโยงถึงตำนานว่าเป็นเสียงคร่ำครวญของอีออสที่เสียลูกชายไปนั่นเอง แต่คิดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็คือเสียงลมที่พัดเข้ารอยแยกของหินทำให้เกิดเสียง "ร้องเพลง" นี้ขึ้นเท่านั้น หลังจากที่จักรพรรดิโรมันองค์หนึ่งก็ได้เข้าไปซ่อมรอยแตกรูปสลัก ทำให้ไม่มีเสียงร้องเพลงดังกล่าวอีกเลย


    Luxor Temple

     
    หลังจากนั่งรถกลับจากดูรูปสลักเมมนอน พี่กิตติก็รีบขับรถไปหาร้านอาหารที่นัดไว้เป็นการด่วน แต่สุดท้ายร้านคิดจะปิดก็ปิดไปเฉยๆ พี่กิตติก็ต้องเร่งหาร้านใหม่ พี่เขาก็กังวลที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน(อีกแล้ว) จนกระทั่งเรามาถึงร้านใหม่ตอนใกล้ค่ำ เขาก็เสิร์ฟซุปมักกะโรนีรูปเมล็ดข้าว มะเขือม่วงผัด ผักสลัด เครื่องจิ้มสักอย่างสีแดงๆ ข้าวสวยและไก่ย่าง (ไก่ฉันสุกไม่ทั่วด้วย แต่ฉันหิวไง ฉันก็กินแค่ที่สุกแล้ว) มีน้ำผลไม้ปั่นให้เลือกด้วย

    หลังจากทานอาหารเสร็จ พวกเรามุ่งหน้าไปวิหารลักซอร์ยามค่ำคืนกัน ตอนเราทะยอยกันเดินไปวิหาร พี่กิตติก็เอาน้ำอ้อยผูกหนังสติ๊กถุงน้อยๆมาให้คนละถุง แต่ฉันรู้สึกว่าดื่มไม่ไหวเพราะหวานเกินไป ฉันก็ยกให้พี่สาวกินแทน ระหว่างนี้พวกเราก็ยืนฟังพี่โอ๊ตบรรยายเร่ืองวิหารลักซอร์ให้ฟังอยู่บนลานกว้างหน้าทางเข้า วิหารนี้สร้างโดยฟาโรห์อเมโนฟิสที่ 3 เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว ฝั่งตรงข้ามทางเข้าเป็นถนนลาดยาวที่มีรูปปั้นสฟิงซ์ตั้งอยู่ตลอดสาย มีไฟสปอตไลท์ส่องไปตามรูปปั้น น่ามองมาก


     ตามที่พี่โอ๊ตเล่าคือที่วิหารมีห้องบูชาเรือด้วย สมัยนั้นคนเขาจะแบกเรือมาตามถนนเส้นนี้นำเข้าไปบูชาไว้ในวิหาร ส่วนทางฝั่งทางเข้าวิหารมีรูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2 ตั้งคู่อยู่หน้าทางเข้า มีเสาโอเบลิสก์ตั้งโดดเด่นอยู่เพียงหนึ่งต้น ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากเพราะคนอียิปต์ค่อนข้างถือเรื่องความสมดุล ปกติแล้วมักจะนิยมวางเสาเป็นคู่ พี่เขาเฉลยว่าปัจจุบันอีกต้นถูกนำไปตั้งไว้ที่ปลาซเดอลาคองคอร์ด กลางกรุงปารีส เพื่อเป็นของขวัญแก่ประเทศฝรั่งเศสในสมัยของโมฮาเหม็ด อาลี ดาชา ในปี ค.ศ. 1819 


    จริงๆก่อนหน้านี้ที่แห่งนี้ถูกกาลเวลาและพื้นทรายกลบมาฝังโดยตลอด ภายหลังมีกลุ่มมุสลิมเข้ามาตั้งถิ่นฐาน สร้างมัสยิดขึ้นบนพื้นที่วิหาร แม้หลังจากนั้นมีการขุดวิหารขึ้นมาแล้ว แต่ไม่สามารถย้ายมัสยิดไปได้ตามใจชอบ เราก็ยังคงเห็นมัสยิดอยู่คู่วิหารลักซอร์จนถึงปัจจุบัน

    ตอนที่ฉันเดินผ่านเข้าไปแล้ว คนเหมือนเป็นลานที่โอบล้อมด้วยวิหารและเสาค้ำ คนค่อนข้างเยอะละลานตาไปหมด แต่พอเดินเข้ามาก็บางตาลงไปบ้าง คณะเราก็เดินไปชมพวกภาพสลักสำคัญๆกันไป สักพักแล้วนัดแนะกันว่าให้เวลาไปเดินชมรอบๆกันแล้วกลับมาเจอกันที่จุดนัดพบเวลานี้ๆกันนะ



    รู้ไหม? ข้อดีของการที่เรามาเที่ยวกับคณะช่วงเวลาเป็นอาทิตย์ๆคือ เราจะได้เพื่อนใหม่และสนิทกับเขา ช่วยกันดูแลกันและกันเสมอเพราะเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว และแน่นอนว่าถ้าเข้ากันได้ดี เราก็จะบ้าบอไปด้วยกันได้ดียิ่งขึ้นด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันค่อนข้างสนิทกับพี่จ๋ากับพี่ยูริแล้ว ทั้งนี้ส่วนหนึ่งคือเป็นอานิสงค์จากพี่สาวของฉันเองที่มาอียิปต์กับคณะพี่โอ๊ตก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่งพร้อมพวกพี่จ๋าและพี่ยูริ พี่เขาเลยให้ความสนิมสนมกับฉันค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่น ช่วงแรกอย่างที่บอกคือพี่เขาก็กลัวว่าฉันจะเป็นคนปกติเกินไปต่างจากพวกตนหรือเปล่า แต่พอผ่านไป 1 - 2 วัน หลังจากที่เราลงจากเรือไปดูเหมืองหินเก่าที่เอามาสร้างสุสานและเอาหัวมุดซอกหินครานั้น พี่เขาก็รู้แล้วว่าฉันมันเป็นพวกบ้าๆบ๊องๆเหมือนกัน 

    ระหว่างรอคนอื่นตรงที่นัดพบกัน ฉันจำได้ว่ารออยู่พอสมควรเลย เห็นพวกไฟที่ส่องกระทบผนัง อารมณ์อยากจะถ่ายรูปอาร์ตๆก็มา เอามือทำท่าต่างๆให้เกิดเงา กะจะถ่ายเงาเก๋ๆ แต่ไปไม่รอดแหะ เลยไปถ่ายรูปหมู่แทน

    ฉันก็ไปถ่ายรูปกับพวกพี่เขา พยายามหามุมถ่าย แต่ก็ลำบากสักหน่อยเพราะมันค่อนข้างมืดแล้ว สุดท้ายพวกเราไปเจอมุมหนึ่ง เหมือนปากทางเข้าวิหารที่ทั้งสองข้างเป็นเสาลาดยาวไปและค่อนข้างสว่างกว่าที่อื่น อย่างน้อยก็ถ่ายเห็นหน้าเห็นตาเรา แรกๆก็ถ่ายกันแบบปกติ แต่ไปๆมาๆใครเป็นคนออกความเห็นก็ไม่รู้บอกให้มากระโดดถ่ายรูปกันเถอะ แรกๆก็ถ่ายเดี่ยว กระโดดท่านินจาบ้าง ท่านกกระเรียนสยายปีกบ้าง สุดท้ายมาท่ากระโดดเรียงหน้ากระดานก็มี แล้วเราก็มานั่งขบขันกันว่าถ่ายออกมาได้ไหม? รูปสวยหรือเปล่า? ดีที่ไม่ค่อยมีคนเท่าไรเลยไม่โดนด่า 

    ทริปรวมคนบ้า อะไรคือความธรรมดา ไม่เคยรู้จักหรอก เล่นใหญ่ตลอด!
    มีอีกมุมหนึ่งที่เราเจอแล้วรู้สึกว่าน่าจะถ่ายรูปสวยก็คือปากทางเข้าอีกที่ ที่มีหินเตี้ยๆหน่อยตรงปากทางตั้งห่างกันอยู่คู่หนึ่ง เราเกิดความคิดพิเรนกันอีกแล้ว เสนอให้ปีนขึ้นไปถ่ายทำท่ากราบบังคมทูลคู่กันไหม? แน่ละว่าเราไม่เคยปฏิเสธความคิดบ้าบอของอีกคนหนึ่งเลย มีแต่จะส่งเสริมกันด้วยซ้ำ แต่ก็แอบกลัวนิดหน่อยว่าผีอียิปต์ที่เฝ้าเสาจะมาหลอกหลอนเราไหม แต่มันเป็นหินก้อนหนึ่ง เราปีนขึ้นไปก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเนอะ รีบๆถ่ายรูปแล้วก็รีบไป หลังคิดแล้วว่าปีนไปถ่ายน่าจะไม่เป็นไร เราก็จัดกันไปหลายท่าเลยทีเดียว ฉันคิดว่าอย่างน้อยความคิดพิเรนๆแบบนี้ก็สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้พี่ๆคนอื่นในคณะ ฉันว่ามันเป็นวันที่น่าจดจำวันหนึ่งเลยทีเดียว


    "เราอาจจะหลงลืมรายละเอียดความทรงจำนั้นไปแล้ว แต่สิ่งที่เราจดจำได้คือความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำที่เลือนราง"


    To be continued...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in