“อยู่บนเครื่องก็นอนพักบ้างนะลูก เนี่ยกลับบ้านมาก็เอาแต่กิน แถมยังมัวเล่นเกมส์ดึกๆ ไม่หลับไม่นอนบ้าง” หญิงสูงวัยพูดด้วยความเป็นห่วง
“บินชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้วแม่ ไม่ทันได้นอนหรอก ” ชายผู้เป็นลูกตอบ
ทั้งสองยืนร่ำลากันอยู่ที่ประตูผู้โดยสารขาออก ในสนามบินท้องถิ่นที่มีผู้คนคลาคล่ำเนื่องจากเป็นวันหยุดยาว คนหนึ่งคือหนุ่มร่างใหญ่ไว้เครา เขาสะพายเป้สีดำ ในมือถือถุงผ้าซึ่งเต็มไปด้วยไส้อั่ว หมูยอ มัดเก็บอย่างดีเพื่อนำไปเป็นของฝากมิตรสหาย อีกคนเป็นหญิงหม้าย ดูคล่องแคล่วและอ่อนกว่าวัยแม้ว่าจะอายุย่างหกสิบแล้วในปีนี้
“คราวหน้ามาเยี่ยม หวังว่าจะมีลูกสะใภ้มาฝากแม่บ้างนะ นี่อะไรกัน ไปทำงานกรุงเทพตั้งหลายปี หาไม่ได้ซักคนเลยหรอ”
“แผนกหนู ทำงานไม่เจอใครเค้าหรอก สาวที่ไหนจะมาหลง” ศักดิ์ชายพูดคุยกับแม่ด้วยสรรพนามแทนตัวเองที่ขัดกับหน้าตา กับผู้เป็นแม่แล้ว เค้าสบายใจที่จะได้ทำตัวเป็นเด็กเสมอ
เขายกมือไหว้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะเดินเข้าประตูผู้โดยสารขาออก เมื่อหันมองกลับมาก็พบว่า แม่ยังคงยืนรอส่งเขาจนลับสายตา เขาผ่านด่านตรวจเข้าไปโดยใช้เวลาไม่นานนัก
เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ศักดิ์ชายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ก็พบว่า Chet.Ped ส่งสติ้กเกอร์ทักมารัวๆ
“เมิงดูไลน์กรุ๊ปรวม เค้าดราม่ากันอีกละ กุละเบื่อ (สติ้กเกอร์ เอาที่สบายใจเลยละกันครับ)”
“ไอเชษฐ์ กูกำลังจะขึ้นเครื่องกลับกทม.เนี่ย คงถึงเกือบห้าโมง”
“เออ อย่าเนียนลาอีกคนนะโว้ย โน่น พี่เต้ชิงลายาวไปแล้ว (สติ้กเกอร์ เป็นโรคอะไร ตูถามจริงเหอะ)”
“หยุดยาวงี้ เมิงเตรียมเลย กูว่า user ชั้น 7ตามแน่”
“น้องคะ พี่ลืมพาสเวิร์ด”
“555555(สติ้กเกอร์ ตรูไม่ได้บ่นตรูแค่รอการระบาย)”
“เออ กูไปละ เค้าเรียกขึ้นเครื่องละ”
“(สติ้กเกอร์แจกัน)”
ศักดิ์ชายปิดโทรศัพท์เป็นโหมดการบิน พอดีกับที่ได้ยินเสียงประกาศ
“เชิญผู้โดยสารเที่ยวบินที่ TJ 234 เชียงราย-กรุงเทพ ผู้โดยสารเด็ก ผู้สูงอายุและผู้โดยสารที่นั่งหมายเลข 46-61 ขึ้นเครื่องที่ประตูทางออกหมายเลข 4ค่ะ”
ไม่นานนักผู้โดยสารก็ทยอยขึ้นเครื่องจนเต็ม ศักดิ์ชายยกกระเป๋าสะพายสีดำคู่ใจ ขึ้นเก็บบนช่องเก็บสัมภาระ เขาสะบัดมือซ้ายไล่ความรู้สึกเมื่อยที่ร้าวมาตามแขน ก่อนจะเบียดตัวเองเข้าไปที่นั่งเบาะกลาง เขานั่งลงหลับตาครู่หนึ่ง น่าแปลกที่เที่ยวบินนี้เงียบเชียบแม้จะมีผู้โดยสารเต็มลำ ขณะนี้ด้านหน้าแอร์โฮสเตสกำลังสาธิตวิธีการใช้เสื้อชูชีพนิรภัยตามหน้าที่ด้วยสีหน้าเนือยๆ ด้วยความที่เป็นชายร่างใหญ่เขาจึงอึดอัดเล็กน้อยที่ได้ที่นั่งตรงกลางขนาบด้วยฝั่งซ้ายคือชายชราแต่งกายภูมิฐานนั่งติดหน้าต่างและฝั่งขวาเป็นสุภาพสตรีร่างเล็ก เขาไม่ค่อยมีสมาธิกับตั้งใจฟังนัก ผิดกับชายชราที่นั่งติดหน้าต่างที่ดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ศักดิ์ชายเอื้อมมือไปเพื่อคาดเข็มขัดนิรภัย ระหว่างที่เขาง่วนกับการปรับความยาวของสาย ศอกขวาก็ไปโดนสุภาพสตรีทางขวาซึ่งกำลังก้มลงวางกระเป๋าถือไว้ใต้เก้าอี้
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ” เขาชนเธอเข้าอย่างจังเลยทีเดียว ก่อนจะได้ยินเสียงตุ้บบนพื้น วินาทีเดียวกับที่เขาหันไปเห็นว่าศีรษะของผู้หญิงคนนั้นกลิ้งหลุนๆไปตามทางเดิน
อะไรวะนั่น
“Cabin crew prepare for take off” ไฟในห้องโดยสารดับลง
เชี่ยยยย
“อะไรจะแย่ไปกว่าการตายอีกครั้งทั้งๆที่ได้ตายไปแล้วล่ะนะ”ชายชราที่นั่งติดหน้าต่างเปรยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นมิตรราวกับเริ่มต้นบทสนทนาว่า “เมื่อไหร่คุณแอร์ฯเขาจะมาเสิร์ฟน้ำส้มนะ”
ศักดิ์ชายได้แต่อ้าปากค้างหันมองหน้าชายชราสลับกับหน้า เอ่อหมายถึง ลำตัวส่วนที่ยังเหลือของสุภาพสตรีท่านนั้น
“ทะโทษฮะ คุณ คุณพูดว่าอะไรนะครับ” ให้ตายสิในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ประสาทส่วนกลางของเขากลับตอบสนองไปด้วยถ้อยคำสุภาพพอกัน
เครื่องบินเร่งความเร็วขึ้นก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าทำให้เกิดความรู้สึกหวิวๆในท้อง ห้องโดยสารโคลงเคลงก่อนที่จะค่อยๆนิ่งและประคองตัวไปอย่างราบเรียบ
ไฟห้องโดยสารสว่างขึ้น พนักงานต้อนรับสาวผมสั้นก้าวฉับๆมายังแถวที่เขานั่ง พร้อมกับศีรษะในมือ ก่อนที่จะวางมันลงบนบ่าของผู้โดยสารท่านนั้นอย่างนุ่มนวล สุภาพสตรีรายนั้นบุ้ยใบ้มือเป็นเชิงขอบคุณ
“เห็นทีจะเป็นเคสอุบัติเหตุที่ออกข่าว มาไฟลท์เดียวกันซะด้วย”ชายชราแสดงความเห็น
“คุณลุงหมายถึงน้องเค้าตายแล้วหรอครับ” ศักดิ์ชายตอบกลับไปด้วยเสียงกระซิบ ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทที่พูดถึงสุภาพสตรีที่นั่งข้างๆ
“แล้วพ่อหนุ่มล่ะเป็นอะไรตาย” ชายชรายังคงชวนคุยต่อ
เมื่อเห็นสีหน้าสุดเหวอของศักดิ์ชาย ทำให้ชายชราอุทานออกมาว่า ตายโหง
“ตายโหงละ นี่จนเช็คอินขึ้นเครื่องมาแล้วยังไม่รู้อีกหรือว่าเป็นอะไรตาย”
“คือผมยังไม่ตายนะฮะ”
ชายชราหัวเราะหึหึ ประมาณว่า เอาที่สบายใจก็แล้วกัน
พนักงานต้อนรับสาวกลับมาอีกครั้งพร้อมกับรถเข็นแจกอาหารว่าง ถึงตอนนี้มันฟังดูบ้าบอสิ้นดี หากเป็นเที่ยวบินคนตายแล้วจะมีการสาธิตการใช้เสื้อเป่าลมนิรภัยหรือบริการแจกขนมปังไส้มะพร้าวทำไม
ศักดิ์ชายรีบล็อกอินไวไฟฟรีของสายการบินด้วยสมาร์ทโฟนของเขา ก่อนจะส่งไลน์หาเพื่อนสนิทคนที่เพิ่งคุยกันเมื่อสักครู่
“เชษฐ์มึงเช็คไฟลท์กูหน่อยดิ๊”
“อะไรมึง สราด กูโดนนำอยู่” ปลายทางพิมพ์ตอบมา
“TJ 234”
“เออๆ มันขึ้นว่า En Route on time แปลว่าอะไรวะ 5555” เชษฐ์จบบทสนทนาด้วยเลขห้าจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เข้ากับสถานการณ์เลยสักนิด
ศักดิ์ชายเปิด google map เพื่อค้นหาว่าขณะนี้เขาอยู่ที่ไหนก่อนจะพบว่ายังคงเป็นบริเวณท่าอากาศยาน เขายื่นมือถือไปใกล้หน้าต่างหวังว่าเครื่องจะประมวลพิกัดได้บ้าง
“เครื่องบินลำนี้ จีพีเอสมันจะรับสัญญาณได้เร้อ”ชายชรามองเขายิ้มๆ คุณลุงท่านนี้ท่าจะทันสมัยไม่เบา หน้าจอแสดงผลว่าgoogle map ยังคงนิ่งสนิทอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
“อ้าว แล้วโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณลุงเป็นอะไรตาย” เอาวะ เขาตัดสินใจตามน้ำ
“มะเร็งลำไส้ อยู่มาตั้งหลายปีเชียวนะ ดูนี่ๆ”แกชี้ชวนให้จับหน้าท้องซึ่งเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีลักษณะเหมือนถุงอยู่ใต้เสื้อ “พอเชื้อมันกระจายเท่านั้นล่ะ เรียบร้อย” แกดีดนิ้วดังเปาะ
ตอนนี้เขากำลังลังเลอย่างมากว่าควรใช้สมองขบคิดว่า เขาหลงมาขึ้นเครื่องบินวิญญาณลำนี้ตั้งแต่แรกได้อย่างไร หรือควรข้ามขั้นไปคิดว่า มันมีทางหนีออกจากเที่ยวบินไปไม่กลับนี้หรือไม่ ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบคุณลุง พนักงานต้อนรับสาวผมสั้นก็เข็นรถมาถึงที่นั่งของเขา หล่อนแจกอาหารว่างอันได้แก่ พายไส้มะพร้าวและน้ำผลไม้รวมให้ก่อนจะยื่นหน้ามาพูดกับเขา “ขออนุญาตตรวจบัตรโดยสารอีกครั้งค่ะ”
“ฮะ อ่อ ได้ครับ” ศักดิ์ชายล้วงเอาบัตรโดยสารออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เธอยื่นมือมารับไปตรวจดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนพนักงานอีกคนที่กำลังแจกอาหารให้ผู้โดยสารแถวถัดไป “คุณได้เช็คอินมาจากต้นทาง ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ใช่มั้ยคะ” หล่อนถาม “อ่า ครับ คือผมเช็คอินออนไลน์น่ะครับ ไม่ได้มีโหลดของอะไร” “ขออนุญาตคืนบัตรโดยสารค่ะ” เธอไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เข็นรถออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เขายื่นมือไปรับบัตรโดยสารคืนมาแบบงงๆ ศักดิ์ชายไม่ลืมที่จะแอบเหลือบมองสุภาพสตรีที่นั่งข้างๆเขาริมฝั่งทางเดิน แต่ไม่กล้าจ้องตา อาจเป็นเพราะกลัวว่า หล่อนอาจจะมองตอบกลับมา หล่อนนั่งสบายๆพร้อมกับมีผ้าลายกราฟฟิกสไตล์มารีเมกโกะพันรอบคอและคลุมไหล่ลงมาตามสมัยนิยม จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เขาคงดูไม่ออกเลยว่าหัวและตัวของหล่อนไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าไม่ไปซุ่มซ่ามชนหล่อนจนหัวกระเด็นหลุดจากบ่าไปเมื่อตอนเครื่องบินขึ้น
“บ้าจริง ท่าจะอาการหนักแล้ว กู” เขาพึมพำ บางทีเราอาจจะทำงานหนักเกินไป นอนน้อยจนเห็นอะไรผิดเพี้ยนไปหมดก็ได้ เขาคิดอยู่ในใจ
ชายชราเริ่มฉีกซองขนมพาย หลังจากดูดน้ำผลไม้จนหมดแก้ว
“แล้วไม่ทราบว่า คุณลุงเอ่อ มาเที่ยวเชียงรายคนเดียวหรอครับ”ศักดิ์ชายเริ่มต้นบทสนทนา
“ซื้อบ้านไว้นานแล้ว ก็มาพักผ่อนกันสองคนตายาย” ชายชราว่า “แต่มันก็มาเกิดเหตุซะก่อน”
“อ่า งั้นหรอครับ”
“แล้ว พ่อหนุ่มล่ะ มีลูก มีเมียรึยัง”
“อย่าว่าแต่แฟนเลยครับ” เขาหัวเราะฝืดๆตอบ
“อยู่เป็นโสดมันก็ดี แต่งงานมันก็ดี แต่จะบอกอะไรให้อย่างนะ” ผู้พูดเว้นจังหวะ “พอมีลูกหลานเยอะ มากคนก็มากความ วุ่นวายไปหมด” ชายชราโบกมือไปมาราวกับจะปัดรังควาน
ก่อนที่จะทันได้ถามอะไร พนักงานสาวคนเดิมเดินมาที่แถวที่นั่งของเขาอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับพนักงานสาวอีกคนที่มีท่าทางจริงจัง หล่อนเอ่ยเชื้อเชิญให้พวกเขาเปลี่ยนที่นั่ง
“รบกวนคุณศักดิ์ชายกับคุณชาติชาย ย้ายมานั่งที่ชั้นโดยสารธุรกิจด้วยค่ะ” น้ำเสียงอ่อนโยนตามมาตรฐานสายการบินแต่แฝงไปด้วยความขึงขังแบบคำสั่ง
ท่ามกลางความงุนงงของทั้งสอง ชายชราดูเหมือนจะตอบสนองได้ไวกว่า เขาลุกตัวขึ้นจากเก้าอี้โดยสารอย่างกระฉับกระเฉง ศักดิ์ชายรีบปลดเข็มขัดนิรภัย และเคลื่อนตัวออกจากเก้าอี้โดยสาร โดยระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้โดนสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ริมทางเดิน หล่อนลุกขึ้นหลีกทางให้อย่างมีไมตรี ชายชราพยักหน้าขอบคุณไปทีหนึ่ง
ทั้งสองเดินตามพนักงานต้อนรับไปยังทิศทางหัวเครื่อง ชั้นโดยสารธุรกิจดูกว้างขวางกว่า เนื่องจากเก้าอี้โดยสารไม่ได้อัดกันเป็นแถวปลากระป๋องแบบชั้นประหยัด เที่ยวบินนี้ดูเหมือนจะไม่มีผู้โดยสารเดินทางในชั้นธุรกิจเลย
ทั้งสองนั่งลงที่ที่นั่งแถวกลางติดกัน พนักงานต้อนรับดูแลจนพวกเขานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ก็ปิดม่านห้องโดยสารและนั่งลงที่เก้าอี้โดยสารข้างๆ
“ต้องขอประทานโทษที่ทำให้ลำบากนะคะ” พนักงานต้อนรับสาวที่มาสมทบเอ่ยขึ้น “ดิฉันฑิฆัมพร อินไฟลท์แมแนเจอร์ ก่อนอื่นดิฉันต้องขอแจ้งคุณ เอ่อ คุณศักดิ์ชายว่า เราตรวจสอบไม่พบชื่อคุณในรายชื่อผู้โดยสาร”
ศักดิ์ชายงงกับการแจ้งข่าวนี้ ส่วนชายชรานั่งเอนหลังพิงพนักตามสบาย มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใจเย็น
“เอ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับผมใช่มั้ยครับ” ชายชราเอ่ยถาม
“คุณชาติชาย มีชื่ออยู่ในรายชื่อผู้โดยสารถูกต้องค่ะ” พนักงานสาวคนที่เสิร์ฟอาหารให้พวกเขาตอบ
“เป็นไปไม่ได้” ศักดิ์ชายพยายามเปิดโทรศัพท์ให้ดูตั๋วโดยสารอิเล็คทรอนิคส์ “แล้ว ถ้างั้นผมจะขึ้นเครื่องมาได้ไง ผมเปิดอีเมลล์ยืนยันให้ก็ได้นะครับรอเดี๋ยว” เขากดโทรศัพท์ก่อนจะพบว่าขณะนี้ตรวจไม่พบสัญญาณไวไฟ “บ้า ฉิบ”
“ขณะนี้เครื่องบินขึ้นระดับสูงด้วยความเร็วสูงสุด ต้องกราบเรียนว่าสัญญาณไวไฟอาจให้บริการได้ไม่เต็มที่”พนักงานสาวอีกคนตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน ราวกับว่านี่เป็นสถานการณ์ปกติ
“แล้วนี่สรุปว่าผมขึ้นผิดลำ คนเดียวหรอ”
“คุณเช็คอินถูกต้องแล้วค่ะ และขึ้นเครื่องถูกลำแล้วค่ะ แต่ว่ามีเหตุการณ์ที่ทำให้คุณไม่ได้ไปต่อ”
“ยังไงนะครับ” เขาจ้องหน้าพนักงานต้อนรับคนนั้น รู้สึกเต็มไปด้วยคำถาม แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากคำถามไหนก่อน
“ดิฉันจะขอชี้แจงตามตรง เนื่องจากว่าต้องได้รับความร่วมมือจากผู้โดยสาร ไม่เช่นนั้นก็จะดำเนินการไม่ได้”
“หมายความว่า ต้องไปชำระค่าโดยสารตอนแลนดิ้ง อะไรแบบนี้หรอครับ” เขาเริ่มคิดถึงขั้นตอนการเรียกร้องกับประกันการเดินทาง
“ไม่ใช่ค่ะ เอ่อ ดิฉันหมายถึง เราต้องจัดการเรื่องนี้ทันที เพราะถ้านำเครื่องขึ้นสูงถึงระดับแล้วจะแก้ไขไม่ได้” หล่อนเว้นจังหวะ ก่อนจะพูดในที่สุดว่า
“เราต้องขออนุญาตพาคุณออกจากเครื่องตอนนี้ค่ะ”
ทุกคนเงียบ
“คุณผู้ชายท่านนี้ เอ่อ คุณชาติชายจะเป็นคนพาคุณกลับลงไปค่ะ” พนักงานสาวคนผมสั้นพูดเสริม ส่วนชายชราเองก็พยักหน้าเหมือนได้ยินว่า เออ คุณคนนี้เขาไปเซเว่นไม่ถูก ช่วยเดินไปส่งหน่อยได้ไหม
“อย่างที่ดิฉันเรียนให้ทราบ คุณไม่มีรายชื่ออยู่ในเที่ยวบินของเรา นั่นเป็นเพราะว่า จริงๆแล้วคุณจะต้องอยู่บนเครื่องอีกลำ คุณต้องกลับลงไปให้ทันค่ะ”
ทุกคนเงียบ
ศักดิ์ชายหันไปมองหน้าชายชราสลับกับพนักงานสาว ในใจหวังว่าจะมีใครสักคนพูดขึ้นมาว่า อ่ะ ล้อเล่นน่า
“อะไรกันคุณ นี่มันยิ่งกว่ายูไนเต็ด แอร์ไลน์อีกมั้งเนี่ย” ศักดิ์ชายเริ่มหมดความอดทนกับการเจรจานี้ คนพวกนี้คิดว่ากำลังเล่นตลกกันอยู่หรืออย่างไร นี่ถ้าเป็นเรื่องเล่าเขาคงหัวเราะท้องแข็งไปแล้ว ถึงตอนนี้สีหน้าของคุณแอร์โฮสเตสสาวยังคงบ่งบอกชัดว่า เธอไม่ได้พูดเล่น
แต่พอมองผ่านหน้าต่างห้องโดยสารออกไป เขากลับพบว่ากลุ่มเมฆสีขาว บนพื้นฟ้าสีครามนั้นดูค่อยๆห่างไกลออกไป และแทนที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า กลับดูเหมือนว่าเครื่องบินลำนี้กำลังลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ศักดิ์ชายลุกขึ้นและเดินไปที่ที่นั่งริมหน้าต่าง เขาเพ่งตามองลงไปเบื้องล่างก็เห็นเส้นลวดยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับว่าเครื่องบินกำลังไต่ขึ้นในแนวดิ่งบนเส้นลวดนั้น เหนือพื้นสีฟ้าไกลลิบนั้นรอบข้างเป็นสีดำมืดมิดราวกับว่าเครื่องบินลำนี้บินอยู่...
“นอกโลก...แหม พอมองกลับไปมันก็สวยดีเหมือนกันนะ” ชายชราเอ่ยขึ้นเนิบๆราวกับใจตรงกัน เขายืนอยู่ข้างๆเอามือทาบกระจกอย่างสนใจ
“นี่เป็นเที่ยวบินที่บินเส้นทางเดียวกันกับลำที่คุณขึ้น แต่ว่า ดิฉันคงต้องใช้คำว่า เราบินเป็นคู่ขนานกันบนความสูงที่ต่างกัน..ค่อนข้างมาก”
ศักดิ์ชายหันไปมองหน้าพนักงานต้อนรับสาว ถึงตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆแล้ว
“เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดบางอย่างบนเที่ยวบินของคุณ ดิฉันไม่ทราบแน่ชัด แต่ว่าตัวคุณถูกพลังงานนั้นผลักขึ้นมาในชั้นวงโคจรการบินของเรา”
“คุณต้องรีบออกจากเครื่องบินลำนี้ ก่อนที่มันจะไต่ระดับสูงถึงจุดที่เรียกว่า...วงโคจรค้างฟ้า”
“เพราะถึงเมื่อนั้นแล้วจะไม่มีวันกลับลงไปได้” พนักงานสาวคนที่เป็นหัวหน้าสรุป
“แล้วผมต้องทำยังไง”
“ต้องอาศัยแรงโน้มถ่วงค่ะ”
“ยืนบื้ออยู่ได้ คุณแอร์เค้าหมายถึงให้โดดไงล่ะ เร็วเข้าไอ้หนุ่ม” ชายชรายืดตัวขึ้นตรง ราวกับว่าจะเป็นคนโดดเอง
“คุณจะบ้าหรือไง โดดลงไปก็ตายน่ะสิ” ศักดิ์ชายพูด แต่พอเขาหันไปมองภาพนอกหน้าต่างที่แปลกประหลาดอย่างนั้นก็ได้แต่กลืนน้ำลาย “ไม่มีทางเลือกอื่นหรอ”
“เที่ยวบินนี้ไม่ใช่ภาวะเสถียรสำหรับคุณ และเราตรวจสอบแล้วว่าไม่มีชื่อของคุณอยู่ในรายชื่อ ดิฉันในนามของผู้ดูแลผู้โดยสารเที่ยวบินนี้จึงต้องขอแจ้งว่า จะต้องพาคุณกลับลงไปค่ะ” เธออธิบาย “ส่วนคุณผู้ชายท่านนี้มีชื่ออยู่ในเที่ยวบินของเรา เขาจะลงไปกับคุณได้ไม่นานก็จะกลับขึ้นมาได้ในที่สุด เพราะชั้นพลังงานชีพของเขาอยู่ในช่วงระดับการบินของเราค่ะ”
ทุกคนพยักหน้า ยกเว้นศักดิ์ชาย
“นึกถึงหน้าคนที่รออยู่สิ นี่ออกมาได้ร่ำลาใครเค้าหรือยัง” ชายชราเอ่ยขึ้น
“ก็ผมบอกว่าผมยังไม่ตาย” ศักดิ์ชายละล่ำละลักเสียงอ่อย
พนักงานต้อนรับสาวสองคนเดินนำพวกเขาไปที่ประตูทางออกฉุกเฉิน ก่อนจะช่วยกันเปิดมันออก ประตูเลื่อนเข้าด้านในตัวเครื่องก่อนที่บานพับจะยกขึ้นบนเพดานอย่างง่ายดาย ราวกับว่าเครื่องบินกำลังจอดอยู่ในโรงจอด ไม่ใช่บินอยู่ในชั้นบรรยากาศเอ็กโซสเฟียร์แบบนี้
เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ศักดิ์ชายตัดสินใจที่จะเชื่อคำแนะนำของพนักงานต้อนรับสาว เขายืนสูดหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งที่ประตู ก่อนที่ชายชราซึ่งบัดนี้มีสายรัดที่หน้าอก สะพายเป้คล้ายกับร่มชูชีพ จะเดินมาสมทบ พนักงานสาวทั้งสองช่วยกันยึดสายรัดเข้ากับตัวของเขาทั้งคู่
“เมื่อลงไปแล้วเริ่มเห็นเครื่องบินให้ดึงเชือกให้ร่มกางได้เลยนะคะ และปลดล็อคออกทันที” พนักงานสาวกำชับกับชายชรา ผู้ซึ่งโต้ตอบด้วยสัญญาณมือว่า โอเค
ประตูเปิดกว้างออก เผยให้เห็นสภาพบรรยากาศข้างนอกที่ดูนิ่งสงบ พนักงานสาวทั้งสองถอยออกไปยืนทั้งสองฝั่งของประตู ประนมมือยิ้มสวยตามแบบฉบับของแอร์โฮสเตสเวลาไหว้ขอบคุณที่เลือกบินกับสายการบินของพวกเธอ ศักดิ์ชายหายใจเข้าลึกหลับตา ก่อนที่จะก้าวเท้าลงไปยังความมืดมิดเบื้องหน้า
ฝึ่บ
“เหวอ หวาาา” เขารู้สึกว่าร่างกายพุ่งดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว สายลมเข้าปะทะหน้าอย่างแรงจนทำให้พูดไม่ได้ศัพท์ ตัวของเขายังคงล็อคติดกับสายคาดที่มาจากชายชรา ทั้งคู่พลิก คว่ำหงายไปมา ร่างกายพุ่งลงสู่พื้นโลก
แม้จะรู้สึกกลัวสุดขีด แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกราวกับได้โบยบินอย่างเสรี
ไม่นานนักก็เริ่มเห็นก้อนเมฆสีขาว ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาลงมาชั้นบรรยากาศของเครื่องบินพาณิชย์แล้วจริงๆ ศักดิ์ชายเหลือบเห็นเครื่องบินสีขาวสลับลวดลายสีน้ำเงินอันเป็นสัญลักษณ์ของสายการบิน TJ และดูเหมือนว่า ชายชราก็มองเห็นสิ่งเดียวกัน ไม่ทันได้พูดพร่ำทำเพลง ชายชราปลดตัวล็อคออกและกระตุกร่มชูชีพ เป็นผลให้ทั้งคู่แยกจากกันทันที
ภาพชายชราในชุดสูทลอยละลิ่วบนท้องฟ้า ตัดกับร่มชูชีพสีแดง เป็นภาพสุดท้ายที่เขามองเห็นก่อนทุกอย่างจะมืดดับลง
“มีชีพจรแล้ว”
“กำลังวัดความดันค่ะ”
“ติดต่อรถ Ambulance สแตนด์บายที่ลานจอดได้แล้วครับ”
“ประกาศ ขณะนี้เรากำลังลดระดับลงจอดฉุกเฉิน สู่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ กรุณานั่งประจำที่ รัดเข็มขัดและปรับพนักเก้าอี้…”
เสียงคนมากมาย ดังขึ้น จับใจความได้ลำบาก ศักดิ์ชายเผยอเปลือกตาขึ้นก่อนจะหลับลงไปด้วยความล้า มีแสงจ้าส่องลงมากระทบใบหน้าเขาทำให้รู้สึกเคืองตา ยิ่งไปกว่านั้นยังมี...วัตถุใสครอบบริเวณจมูกและปากของเขาทำให้อึดอัดไปหมด เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาถูกยกขึ้นและเคลื่อนไปจากจุดเดิม มีคนขนาบซ้ายขวา อุปกรณ์ระโยงระยางรอบตัว เขาขยับแขนและรู้สึกเจ็บแปลบก่อนจะเห็นว่ามีสายน้ำเกลือต่อกับเข็มฉีดยาอยู่ที่ข้อพับขวา “ขอความกรุณาผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่ ขณะนี้ลูกเรือกำลังขนย้ายผู้ป่วยลงจากเครื่องบิน...” เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาจับใจความได้ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับห้วงนิทราอันยาวนาน
“แม่ หวัดดีครับ”
“อ้าว มาแล้วหรอ เชษฐ์”
“โห ยังดีที่พอหาไฟลท์บินมาได้ฮะ แล้วนี่ไอศักดิ์เป็นไงบ้างฮะ ”
“ไปสวนหัวใจมาตั้งแต่เมื่อวาน ฟื้นนานแล้วแหละจ้ะ แต่ยังต้องดูอาการใกล้ชิดอยู"
ศักดิ์ชายนอนหลับๆตื่นๆ หลายครั้ง เขาลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสนิท
“เฮ้ย เป็นไงบ้างวะ” เชษฐ์เกาะราวข้างเตียง มองดูเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คงต้องลดความอ้วนจริงๆแล้วนะลูก หมอเขาก็พูด อะไรกัน อายุแค่นี้เองเป็นเส้นเลือดตีบแล้ว” แม่ของศักดิ์ชาย ซึ่งมานอนเฝ้าเขาตั้งแต่เมื่อคืนพูด “แม่ทานอะไรรึยังครับ ผมไม่ทันได้ซื้ออะไรเข้ามาเลย” เชษฐ์ถาม “โอย ไม่เป็นไรลูก นี่ เชษฐ์มาก็ดีแล้ว เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อของใช้เพิ่มหน่อย ฝากดูศักดิ์ด้วยนะ”
“รอดตายก็ดีแล้วนะมึง” เชษฐ์พูด
“กูจำอะไรไม่ได้เลย”
“แม่มึงเล่าไปร้องไห้ไป ว่าเค้าปั๊มหัวใจมึง บนเครื่องบินเลยนะเว้ย พอดีว่ามีผู้โดยสารเป็นพยาบาลเก่า โคตรโชคดีเลยว่ะ”เชษฐ์พูด
“เออ เค้าบอกว่าสงสัยว่ายกกระเป๋าหนัก เป็นตัวกระตุ้นให้มีอาการ เหมือนว่าเส้นเลือดกูตีบอยู่แล้ว ก็เลยหัวใจหยุดเต้นไปเลย” ศักดิ์ชายเล่าสิ่งที่แพทย์ผู้ดูแลเขาพูดให้ฟังเมื่อตอนเช้า
เชษฐ์นั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยขึ้น “มึงรู้มั้ย พอมึงบอกว่ามีปัญหาให้เช็คเที่ยวบิน กูก็สังหรณ์ใจว่ามันแปลกๆ” เขาพูดต่อ “คือ กูนึกว่าไฟลท์มึงดีเลย์ พออีกครึ่งชั่วโมงเช็คซ้ำ มันขึ้นว่าลงเชียงใหม่ ก็ว่ามีเรื่องอะไร”
“แล้วเค้าต้องบินลงจอดฉุกเฉินเลยหรอ แล้วผู้โดยสารอื่นจะทำยังไง” ศักดิ์ชายถาม
“เฮ้ย เค้าก็ต้องเอาชีวิตผู้โดยสารมาก่อนดิวะ” เชษฐ์ตอบ “เออ แล้วมึงรู้อะไรมั้ย มึงทำให้ครอบครัวเศรษฐีล้านนา ต้องเดือดร้อนไปด้วย ฮ่าๆ เห็นว่าลงมาแล้วโวยวายใหญ่”
“ใครวะ”
แทนที่จะตอบ เพื่อนสนิทของเขายื่นไอแพดมาให้ เปิดหน้าข่าวสังคม ศักดิ์ชายรับมาอ่าน
“ซุบซิบ ตระกูลชัยวัฒน์สะดุดหลุมอากาศ เหตุเครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน เป็นเหตุให้งานพระราชทานเพลิงศพล่าช้า....”
“เออ เศรษฐีคนพ่อ ไง คุณอะไรนะ ในข่าวอ่ะ คือแกเสียที่บ้านเชียงราย แต่ลูก มาเป็นข้าราชการใหญ่โตที่กระทรวงไง ต้องการมาจัดพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพที่นี่ เลยต้องขนศพขึ้นเครื่องมา ดันเป็นไฟลท์เดียวกับเอ็งเลย” เชษฐ์ว่า
ศักดิ์ชายเลื่อนอ่านเนื้อหาของข่าว ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่รูปชายชรา แต่งกายด้วยสูทอิตาลีเนื้อดี แววตาสดใส ข้างใต้ภาพเขียนว่า นายชาติชาย ชัยวัฒน์ เสียชีวิตด้วยวัย 79 ปี
อีกหลายปีต่อมา ในรุ่งสางของเช้าวันหนึ่ง ก่อนดวงอาทิตย์จะโผล่พ้นขอบฟ้า ศักดิ์ชายตื่นเช้าและออกมาเดินเล่นอยู่บริเวณสวนหลังบ้าน วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เขารู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกมาใช้ชีวิตที่เชียงราย บรรยากาศนอกตัวเมืองเงียบสงบ ไร้แสงสีมารบกวนแบบนี้มักจะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าชัดเจน ยืนมองเพลินๆได้ไม่นาน สายตาก็พลันไปเห็นดาวดวงหนึ่ง แสงจากดวงดาวนั้นดูริบหรี่กว่าดวงอื่นๆมากแต่ยังพอมองเห็นได้ชัดเนื่องจากว่า มันกำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ผิดกับดาวดวงอื่นที่ดูแล้วหยุดนิ่ง ศักดิ์ชายไล่สายตามองดาวดวงนั้นจนมันเคลื่อนตัวเกือบจะลับขอบฟ้า
เด็กชายวัยกำลังซนกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดเข้ามาหาเขา
“มาดูนี่สิลูก เคยเห็นมั้ย ดาวเทียม” เขาตั้งท่าจะชี้ให้ลูกชายดู แต่ดาวดวงนั้นลับสายตาไปเสียแล้ว
“พ่อๆ แม่ให้มาตาม พระมาแล้ว” เด็กชายพูด
“งั้นไปสิ ไปใส่บาตรกัน” เขาเดินตามเด็กชายไปหน้าบ้าน
พระสงฆ์ 3 รูปออกบิณฑบาตพร้อมกับเด็กวัดสะพายย่ามเป็นภาพที่คุ้นตา ภรรยาของศักดิ์ชายเตรียมสำรับอาหารรออยู่แล้ว ศักดิ์ชายตั้งจิตอธิษฐานขอพรให้ภรรยา ลูกชาย ตัวเขา และอีกหนึ่งคนที่เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำส่วนลึกของตัวเขาเองไปแล้ว นั่นก็คือ ชายชราอารมณ์ดี สหายต่างวัยที่ได้เคยร่วมเดินทางในเที่ยวบินประหลาดครั้งนั้น
“โยมชาติชาย ปีนี้ได้กี่ขวบแล้ว เข้าโรงเรียนหรือยัง” หลวงตาเอ่ยถาม
“ขึ้นปอหนึ่งครับ” เด็กชายตอบเสียงใส
พระสงฆ์สวดให้พร ก่อนที่จะเดินออกไปยังทิศที่แสงตะวันเริ่มพ้นขอบฟ้า
Cover photo taken from Pinterest
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in