เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Ram Roam Romeผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
.italy 8
  • ผมยัดซิมการ์ดของ Tims ในมือเข้าโทรศัพท์ ได้ Data มา 4 Gb. แถมได้โทรฟรีในประเทศอีกเป็นร้อยนาที (ไหนมึงบอกไม่มีไง อ้วน! ดีนะที่วันนี้น้องอ้วนไม่มาทำงาน ไม่งั้นคงไม่ได้ซิมมาใช้)


    หลังจากเดินทางออกจากมิลานได้ไม่กี่นาที เราก็หลับหัวโขกหน้าต่างไปเรื่อยๆ ด้วยความเพลีย รถไฟความเร็วสูงจอดที่เมืองเวโรน่า อีกหนึ่งเมืองเก่าที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ มีบ้านที่เชื่อว่าเป็นบ้านของจูเลียตตามบทประพันธ์ชื่อก้องโลกของวิลเลียม เชกสเปียร์ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดและความไม่อินในนิยายรักของผม เราทั้งคู่เลยตัดสินใจนั่งสัปหงกต่อไปจนถึงเมือง Mestre หนึ่งสถานีก่อนข้ามทะเลเข้าสู่ Venezia Santa Lucia ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง



    Mestre เป็นตัวเลือกอันดีงามสำหรับนักท่องเที่ยวแบกเป้ ด้วยราคาที่พักราคาย่อมเยาว์ ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้ย่อมเท่าไหร่ เพราะตกคืนละเกือบ 3 พัน แต่ถ้าเทียบกับโรงแรมในเวนิสซึ่งหากอยู่ในทำเลเทพๆ การเข้าพักหนึ่งคืนอาจทำให้แบงค์พันปลิวหลุดไปจากกระเป๋าได้ไม่ต่ำกว่า 10 ใบ ...Mestre เลยดูเป็นมิตรและย่อมเยาว์ขึ้นมาทันที

    พวกเราเหวี่ยงเป้ยักษ์ขึ้นบ่าแล้วเดินออกจากสถานีไปประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่พักในคืนนี้ซึ่งเป็น Family run Hotel มีคุณพี่เจ้าของออกมาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แถมพูดภาษาอังกฤษชัดแจ๋ว ทำให้เราเช็คอินอย่างว่องไวต่างจากมิลานที่สุดแสนจะทุลักทุเล เราได้แผนที่ และข้อมูลร้านอาหารแนะนำ รวมทั้งวิธีการเดินทางระหว่าง Mestre และเวนิส

    ผมเหวี่ยงกระเป๋าลงพื้นในห้องพัก ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ฉวยกระเป๋ากล้องใบเล็กออกมาจากโรงแรม เราแวะเข้าร้านบุหรี่ จัดกรองทิพย์มาซองนึง ก่ะว่าจะอัดให้ชุ่มปอดแล้วไปเอาคืน ด้วยการพ่นควันใส่หน้าวัยรุ่นอิตาลีให้หายแค้น... เฮ้ย ล้อเล่นนะ! อันที่จริงเราไปหาซื้อบัตรเบ่ง 48 ชั่วโมงต่างหาก สนนราคาอยู่ที่ 30 ยูโร บัตรนี้จะทำให้เราขึ้นเรือเมล์ (Vaporetto) ได้แบบรัวๆ อย่างไม่ต้องกลัวหลง

    ตอนแรกผมวางแผนจะเข้าเวนิสด้วยการนั่งรถไฟซึ่งใช้เวลา 5-10 นาที แต่ค่ารถไฟไม่รวมในบัตรเบ่ง และจากคำให้การของคุณพี่เจ้าของโรงแรม เราสามารถใช้บัตรเบ่งนี้กับรถเมล์จากถนนฝั่งตรงข้ามที่พักเข้าเวนิสได้เลย โดยไม่ต้องเดินกลับไปที่สถานี และใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้น....

    โอเค ของฟรีดีๆ แบบนี้มีหรือจะพลาด

    Evelin + Tariq = Amore (ความรัก)


  • รถเมล์พาเราข้าม Ponte della Liberta (สะพานแห่งอิสรภาพ) ที่เพิ่งถูกสร้างในปี 1933 ระหว่างที่อิตาลีกำลังอยู่ภายใต้การปกครองของมุสโสลินี อีกฝากหนึ่งของสะพานคือ ราชินีแห่ง Adriatic Sea นี่คือนครรัฐที่เคยมีอิทธิพลและร่ำรวยที่สุดในยุโรป ศูนย์กลางแห่งการค้าจากฝั่งตะวันตกและตะวันออก รถบัสพาเรามาถึงที่หมาย ความรู้สึกตอนนั้นมันยากจะบรรยายมากเลยครับ

    สวยมาก? ปลาบปลื้ม?



    หิว!! ครับ
    ตั้งแต่เบอร์เกอร์คนละนิดนึงตอนเช้าจนถึงตอนนี้พวกเราทั้งสองคนยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่สิบนาที สุดท้ายเราก็มานั่งอยู่ในร้านแถบ Venezia Santa Lucia สถานีรถไฟหลักของเวนิส ถึงแม้ร้านนี้จะเข้ากับกฎข้อที่ 1 เพราะอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้เราโชคดี เพราะนอกจากอาหารจะอร่อยกว่าที่คิดไว้แล้ว ราคาก็ถือว่าไม่แพงมาก แถมวิวติดริม Grand Canal ของทางร้านก็ถือว่าดีงามอยู่ไม่น้อย



    คุณน้องพนักงานจัดนั่งติดริม Grand Canal ซึ่งแดดตอนเย็นสาดมาเต็มหน้า ตอนแรกก่ะว่า เออ..เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม นั่งตากแดดเลียนแบบฝรั่งก็ได้

    ….5 นาทีผ่านไป
    โอย หน้ากูจะไหม้!  เราจัดการยกแก้ว จามชาม เขยิบมาโต๊ะที่ไม่โดนแดดส่อง น้องพนักงานเดินกลับมาหัวเราะใหญ่ งงกว่าทำไมไอ้เอเชียสองคนนี้ต้องมานั่งเย็นๆ ในร่มด้วย อุตส่าห์จัดที่นั่งริมน้ำมีแดดส่องเอาไว้ให้

    สักพักผ่านไปอาหารมาเสิร์ฟ พาสต้าที่นี่เขานิยมทานกันก่อนจะทานจานพระเอกที่เป็นจำพวกเนื้อครับ แต่...แค่พาสต้าก็จุกแล้ว เนื่องจากรู้สึกสำนึกในสุขภาพพลานามัย ผมจึงสั่ง Green Salad มาทานในราคา 7 ยูโร แต่ได้ผักหน้าตาคล้ายสลัด 5 สี KFC แต่ผักเหม็นเขียวและขมกว่ามากินกับ Balsamic ...และนั่นก็เป็นการบอกลาอาหารจานผักของพวกเราในอิตาลี


  • พออิ่มหนำสำราญเรียบร้อย เราเดินย้อนมาทาง Venezia Santa Lucia เพื่อหา Vaporetto นั่งชม Grand Canal ในยามเย็นกันครับ ตัวสถานีรถไฟเองถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ไม่กี่แห่งในเวนิส ด้านในเต็มไปด้วยร้านอาหาร และร้านค้าเล็กๆ มากมาย ช่วง High Seasons จะมีนักท่องเที่ยวเข้าออกหลายหมื่นคนต่อวัน ถือเป็นสถานที่ที่ยุ่งเหยิงสับสนอลหม่านที่สุดในเวนิส

    Santa Lucia ที่คึกคักตลอดทั้งวัน
    ตัวอักษร FS ย่อมาจาก 'Ferrovie dello Stato" ซึ่งเป็นชื่อระบบรถไฟของอิตาลี

    ที่นี่เป็นจุดเริ่มของท่าเรือ Vaporetto ซึ่งมีให้บริการหลายสายมาก แต่สายที่ล่องตลอดแนวของ Grand Canal มีเพียงสาย 1 และสาย 2 เท่านั้น โดยหมายเลข 1 ถือเป็นสายหวานเย็น จอดมันทุกป้าย กว่าจะนั่งจากต้นคลองไปจนสุดคลองก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง และเพราะไกด์บุ๊คมักเขียนแนะนำให้ใช้บริการสาย 1 ในการนั่งชมบรรยากาศ Vaporetto สาย 1 จึงแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ

    โดยส่วนตัวแล้วผมชอบสาย 2 ที่เป็นเรือเร็วมากกว่า ด้วยความที่มันไม่แวะเข้าป้ายบ่อย ทำให้เราดื่มด่ำกับวิว 2 ฝั่งของ Grand Canal ได้เต็มตามากกว่า แถมนักท่องเที่ยวก็บางตากว่าด้วย หาที่นั่งถ่ายรูปได้สบายๆ

    ด้านตรงข้ามกับสถานีรถไฟเราจะเห็นโดมสีเขียวของโบสถ์ San Simeone Piccolo เป็นหนึ่งในโบสถ์ท้ายๆ ของเวนิสที่ถูกสร้างขึ้น ด้านบนมีรูปปั้นของ St. Simeone โบกมือต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเข้าสู่มนต์สะกดของเมืองแห่งสายน้ำแห่งนี้



    เฮ้ยยยยยย ตื่นเต้นอ่ะ!!

    แบบว่าเคยเห็น Grand Canal แต่ในสารคดี ในรูปภาพ ในนิตยสาร ในหน้าจอ ในทุกอย่างยกเว้นเห็นด้วยตาตัวเอง ผมก้าวขาขึ้น Vaporetto ที่มีผู้โดยสารแน่นขนัด เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มละม้ายคล้ายคลึงกับเรือข้ามฝากที่บ้านเรา และ Vaporetto ก็ออกตัวจากท่า เราต่างขยับตัวหาทำเลเหมาะๆ บนเรือ ผมยิ้มแล้วบอกกับตัวเองว่า... กูมาถึงแล้วนะ เวนิส!

    วิว 2 ข้างทางนั้นสวยงามสมความ ‘Grand’ ตามชื่อของมัน ในสมัยก่อนการจะมีบ้านติดริม Grand Canal ได้นี่ไม่ใช่แค่รวยธรรมดาแล้วจะมีได้นะ ต้องเป็นระดับโคตรอัครอภิมหาเศรษฐีเท่านั้น

    ชื่อของคฤหาสน์ริมคลองเหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘Ca’ ซึ่งย่อมาจาก ‘Casa’  ที่แปลว่าบ้านนั่นแหละ ส่วน ‘Ca’  ใหญ่ๆ ที่เจ้าของเป็น Doge (ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครรัฐในอดีต) จะได้รับการอัพเกรดชื่อให้เป็น ‘Palazzo’ หรือปราสาท

    ในความรู้สึกของผม ‘Ca’  เนี่ยคล้ายกับตึกแถว โดยมาตราฐานแล้ว 'Ca' จะมี 3-4 ชั้น ชั้นแรกจะถูกใช้เป็นคลังสินค้า บาง ‘Ca’ สามารถเปิดประตูเอาเรือเข้าไปจอดในบ้านเพื่อโหลดสินค้าขึ้นลงได้เลย มีหน้าต่างแต่บานไม่ใหญ่โต เรียกว่าเป็นชั้นทำมาหากินว่างั้นเถอะ ชั้นบนสุดจะเป็นชั้น Service ห้องครัว ห้องพักสาวใช้หรือคนงานจะอยู่ที่ชั้นนี้

    ชั้นที่ไฮไลท์คือชั้นสองกับสาม เรียกว่า ‘Noble Floor’ เป็นชั้นที่ ‘จัดเต็ม!’  โซนพักอาศัย และโซนรับแขกจะอยู่ที่ชั้นนี้ทั้งหมด ถือเป็นหน้าเป็นตาของเจ้าบ้าน หน้าต่างจะบานใหญ่ มีระเบียงยื่นออกมานั่งจิบชาชมวิว การตกแต่งก็หรูหรามากเท่าที่จะมากได้ ใครเป็นเจ้าของภาพเขียนผลงานศิลปินดัง หรือมีรูปปั้นล้ำค่า ก็จะเอามาตั้งเรียงโชว์กันหน้าสลอน แชนเดอร์เลียแก้วห้อยระย้า พรมขนสัตว์นำเข้า ม่านที่ทำจากผ้าไหม เก้าอี้ทรงหลุยส์ที่วางแขนทำจากทองคำ ทุกสิ่งอย่างเพื่อจะบอกว่า กูรวย!!!


    เดี๋ยวนี้ ชั้นล่างสุดของ 'Ca' มักจะถูกทอดทิ้งให้ตะไคร่เกาะแบบนี้
    เพราะเจ้าของบ้านเขาสู้ค่าบำรุงรักษาไม่ไหว

    ในยุคสมัยที่โลกยังไม่มี instagram facebook และ Pantip.com การที่คนจะอวดร่ำอวดรวยไม่ได้เป็นเรื่องง่ายอย่างปัจจุบันที่การ 'ดูแพง' ทำได้ด้วยรูปถ่ายไม่กี่รูป แถมการอวดรวยของชาวเวนิสนั้นไม่ใช่มุ่งหวังจะให้คนอื่นมองบนและเบะปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ แต่กลับกลายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะความร่ำรวยหมายถึงอำนาจ และอำนาจหมายถึงคู่ค้าที่ดีและมั่นคง

    ผมว่าชาวเวนิสมีความเป็น ‘พ่อค้า’ ในสายเลือด คือทำอะไรไม่ได้ก่ะจะเอามันส์อย่างเดียว แต่สิ่งที่ลงทุนไป ควรจะต้องได้รับผลตอบรับที่สมน้ำสมเนื้อ ฉะนั้นบนผนัง 4 ด้านของ ‘Ca’ หรือ ‘Palazzo’ จะถูกตกแต่งจัดเต็มเฉพาะ facade ฝั่งที่ติดกับ Grand Canal เท่านั้น ส่วนอีก 3 ด้านก็ช่างมัน เป็นปูนเป็นอิฐเปลือยๆ ไปอย่างงั้นแหละ ตอนแรกที่รู้ก็แอบขำ อารมณ์แบบ...เฮ้ยยย แบบนี้ก็ได้เหรอวะ แต่เอาจริงๆ มันก็คล้ายเวลาเราถ่ายรูปลง social media เออ ก็เลือกมุมดีๆ นิดนึง ชามมาม่าไม่ได้ล้างมาสามวัน เสื้อผ้ายังไม่ได้ซัก กับกองหนังสือการ์ตูนก็หลบมุมเอาหน่อยอย่าไปถ่ายติดมา

    นี่คือ Ca’d’Oro หรือที่แปลว่า House of Gold หรือชื่อจริงว่า Palazzo Santa Sofia เป็นที่ตั้งของตระกูลใหญ่ในเวนิส มี Doge ที่มาจากตระกูลนี้ถึง 8 คน ที่นี่เป็นหนึ่งใน ‘Ca’ ที่ผมชอบที่สุดใน Grand Canal



    คำถามคือ ไหนวะทอง?
    คำตอบคือโดนเอาไปขายหมดแล้ว เวนิสก็เหมือนเมืองใหญ่โดยทั่วไปครับ มีจุดรุ่งเรืองแล้วก็มีจุดตกต่ำ จะชม Grand Canal ให้ได้อรรถรสต้องเป็นคนขี้มโนนิดนึง ลองคิดย้อนกลับไปในอดีต จินตนาการว่าเราเป็นพ่อค้ากำลังแล่นเรือที่อัดแน่นไปด้วยสินค้าจากจีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ แทนที่อิฐอันว่างเปล่าของ ‘Ca’ และ ‘Palazzo’ ด้วยกระเบื้องโมเสกหลายสีที่ถูกประดับประดา สลับกับทองคำที่ทอแสงประกายสู้กับพระอาทิตย์ยามเย็น ...ฟินนนน

    Facade ของ 'Ca' ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

  • นั่งมาได้ครึ่งทาง Vaporetto ก็จะพาเรามาพบกับอีกหนึ่ง Landmark สำคัญของเวนิส นั่นคือ ‘สะพาน Diesel’ นี่เอง

    (คือต้องเล่นมุขทุกย่อหน้าไหม ถามใจเธอดู)

    จริงๆ แล้วมันคือ ‘Rialto Bridge’ ครับ หนึ่งในสี่ และถือเป็นสะพานแห่งแรกของ Grand Canal สะพานที่เราเห็นกันอยู่นี่เป็น เวอร์ชั่นที่ 3 แล้ว เวอร์ชั่นแรกสะพานจะเปิดให้เรือสินค้าขนาดใหญ่เข้ามาได้ อ่านๆ ไปก็นึกถึงสะพานพุทธ ตัว Rialto Bridge เองก็น่าทึ่งครับ มันไม่ได้ให้แค่คนข้ามเฉยๆ ด้วยความ 'พ่อค้า' ของชาวเวนิส จะทำสะพานคู่บ้านคู่เมืองทั้งที นี่เลย ยัดร้านขายของเข้าไป 2 ฝั่งของสะพานมันด้วยเลยแล้วกัน หลายคนอาจจะเฉยๆ ..ก็แล้วไง สะพานใหญ่มีร้านขายของไม่เห็นจะแปลก แต่อย่าลืมว่า Rialto Bridge มีอายุกว่า 400 ปีเข้าไปแล้วครับ เทียบกับบ้านเราที่สร้างถนนเจริญกรุงเป็นเส้นแรกเมื่อประมาณ 150 ปีก่อน และสะพานพระราม 6 ที่ตัดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสะพานแรกที่นับอายุแล้วยังไม่ครบ 100 ปีเลยด้วยซ้ำ

    Diesel ตัวใหญ่มาก จบกันวิวสะพานสวยๆ ... เมื่อไหร่จะซ่อมเสร็จ ฮือออ

    ชื่อ ‘Rialto’ ของสะพานถูกเรียกขานตามชื่อของศูนย์กลางย่านธุรกิจการค้าที่เป็นหัวใจของเวนิส ด้วยความที่เป็นราชินีแห่งการค้า เวนิสจึงเป็นเมืองที่เปิดรับผู้คนจากทุกชาติ ทุกศาสนา เพียงแค่กระเป๋าของคุณเต็มไปด้วยเหรียญทอง และเรือของคุณแน่นไปด้วยสินค้า คุณก็จะได้รับการต้อนรับจากเวนิสเป็นอย่างดี ใช้ความมโน ย้อนเวลากลับไปอีก เราจะเห็นชาวเยอรมันในเสื้อโค้ทเดินสวนกับชาวมุสลิมในชุดคลุมที่ทำจากผ้าไหม สินค้าจากตะวันออกและตะวันตกถูกซื้อขายแลกเปลี่ยนกันที่นี่เป็นหลัก แร่เหล็กจากอังกฤษ กับ พรมจากเปอร์เซีย เกลือของออสเตรีย กับ พริกไทยจากตุรกี

    Ca ส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้ถูกเปลี่ยนเป็น Art Gallery ครับ ทางเวนิสเองก็ออกกฎห้ามให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งก่อสร้าง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการเสียก่อน (ถึงแม้จะเป็นเจ้าของก็ตาม)
  • คาเฟ่ริม Grand Canal ช่วงกลางวันคนตรึมเลยล่ะ ไปถึงตอนเย็นแล้วนักท่องเที่ยวกลับออกไปเกือบหมด

    กองทัพเรือกอนโลด่า สมัยก่อนกอนโดล่าจะถูกตกแต่งแบบ 'จัดเต็ม' เช่นกัน แต่ด้วยความที่การจัดเต็มนั้นเป็นอุปสรรคในการสัญจรของกอนโดล่าลำอื่นๆ เลยมีการวางระเบียบออกมาว่ากอนโดล่าต้องมีสีดำและหน้าตาเหมือนๆ กันหมดแบบนี้



    Valporetto พาเราล่อง Grand Canal มาเรื่อยๆ ผ่าน ‘Ca’ และ ‘Palazzo’ รวมทั้งโบสถ์สวยงามอีกมากมาย แสงแดดยามบ่ายสองกระทบผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ หนังสือไกด์บุ๊คในมืออธิบายรายละเอียดรวมถึงประวัติความเป็นมาของแต่ละสถานที่ไว้มากมาย แต่ผมเลือกจะนั่งใจลอยมอง Grand Canal เคลื่อนผ่านสายตา และเลนส์ของผมไปเรื่อยๆ ดูวิถีชีวิตของชาวเวนิสยุคใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลองซ้อนภาพคาเฟ่ และร้านอาหารด้วยกิจวัตรประจำวันของคนท้องถิ่นในสมัยก่อน โหลดสินค้าขึ้นลงเรือ เดินจับจ่ายซื้อของ อยู่ด้านหน้าของ Palazzo ที่ facade ยังเต็มไปด้วยการประดับประดา

    …เอาความจริงนะ แบบแมนๆ เตะบอลกันครับ เลยนะ
    ที่เขียนแบบนี้เพราะว่าจำที่ไกด์บุ๊คเขาเขียนอธิบายไม่ได้ใช่ไหม

    …ใช่ครับ

    (ฮ่าๆๆ ด่าได้แต่อย่าแรง เป็นคนอ่อนไหววว)

    Grand Canal กว้างออก เมื่อเราใกล้ถึง San Marco ซึ่งเป็นท่าสุดท้ายของการล่องเรือชมวิวของเรา หาก Rialto เป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจการค้า จตุรัส San Marco ก็แพ๊คแน่นไปด้วย Landmark สำคัญของเวนิส โดยมี Palazzo Ducale หรือปราสาทแห่งเจ้าผู้ครองนคร เป็นตัวแทนของศูนย์กลางด้านการเมืองการปกครอง ตั้งตระหง่านอยู่คู่กันกับ Basilica Di San Marco หรือมหาวิหารแห่งเซนต์มาร์ก อันเป็นศูนย์อำนาจทางคริสศาสนาในเวนิส หอระฆังสูงโดดเด่นอยู่ใจกลางจตุรัส และด้านอื่นๆ ที่ล้อมรอบก็เต็มไปด้วยคาเฟ่ และร้านอาหาร

  • แต่ในตอนที่เรามาถึง สถานที่ต่างๆ นั้นปิดไม่ให้เข้าชมแล้ว ขนาดจำนวนนักท่องเที่ยวก็ดูบางตาไม่ได้แออัดเหมือนที่ผมจินตนาการเอาไว้ ผมตัดสินใจเดินเล่นเพื่อหาทำเลเหมาะๆ เก็บภาพแสงทไวไลท์หลังพระอาทิตย์ตก

    จุดที่ผมเลือกอยู่ห่างออกไปสักหน่อยทำให้เราต้องออกกำลังกายขากันเล็กน้อย หลังจากที่นั่งเรือชมเวนิสมาตลอดทาง ถึงแม้ว่าวิวบน Grand Canal จะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน แต่ผมว่าเสน่ห์จริงๆ ของเวนิสมันอยู่ที่การเดินเล่นผ่านคลองเล็กคลองน้อยตามตรอกเล็กๆ นี่แหละ

    ปกติผมไม่ชอบจะไปบอกใครว่าต้องเที่ยวแบบไหน เพราะแต่ละคนก็มีของที่ชอบและมีสไตล์ไม่เหมือนกัน แต่อันนี้ขอพูดเลยว่าใครที่คิดจะมาเวนิสแล้วนั่ง Vaporetto ลงตามป้ายแวะเที่ยว Landmark ใหญ่ๆ โดยไม่เผื่อเวลาเอาไว้เดินเล่นในเมืองเลยเนี่ยถือว่าน่าเสียดายเอามากๆ

    จากจตุรัสที่มีแต่นักท่องเที่ยว เดินเข้าไปในตรอกซอกซอย เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาสัก 2-3 ที เราก็จะหลุดเข้ามาสู่ความสงบ และเวนิสก็ดูเป็นมิตรกับเรามากขึ้น เราเดินผ่านร้านอาหาร และคาเฟ่เล็กๆ หลายร้านสวยจนผมยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ 

    local shop ระหว่างทาง ขนมดูมุ้งมิ้งน่ากินมาก มีขายวิสกี้ และของที่ระลึกด้วย สาวๆ น่าจะชอบ

    ร้านอาหารบรรยากาศดีเสียจนเราแวะมาทานในวันรุ่งขึ้น


    เราใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเดินเข้าซอยนู้น ออกซอยนี้จนในที่สุดก็มาโผล่ที่ สะพาน Academia (Ponte dell’ Academia) เดินขึ้นไปบนสะพานหันหน้าไปทางตะวันออกเราจะพบกับ Grand Canal เชื่อมต่อสู่ทะเล Adriatic ด้านขวาเป็นโดมของ Basilica di Santa Maria della Salute โบสถ์ที่สร้างเพื่ออุทิศแด่ St. Mary of Health

    เนื่องจากเวนิสเป็นเมืองท่า นอกจากสินค้าจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว คาราวานเรือยังบรรทุกพาหะนำโรคตัวสำคัญเช่นหนูเข้ามาด้วย ในปี 1630 เกิดการระบาดของกาฬโรคครั้งใหญ่ คร่าชีวิตของชาวเมืองเวนิสไปเกือบ 1 ใน 3 ชาวเมืองไปขอพรในโบสถ์ซึ่งอุทิศแด่ San Rocco หรือ St. Roch นักบุญผู้เลื่องชือในด้านการขอพรเพื่อต่อสู้กับกาฬโรค แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ชาวเมืองจึงเปลี่ยนใจมาขอพรกันใหม่ ว่าหากพวกเขารอดพ้นจากกาฬโรคในคราวนี้ พวกเขาจะสร้างโบสถ์เพิ่ม เพื่อเป็นการขอบคุณต่อพระเจ้า และหลังจากนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็ลดลงดั่งปาฏิหาริย์

    เมื่อรอบพ้นจากกาฬโรค Doge ก็สั่งให้สร้างโบสถ์ขึ้นมา แถมยังมีงานเฉลิมฉลองเรียกว่า Festa della Madonna della Salute โดยชาวเมืองเวนิสจะสร้างสะพานไม้จากจตุรัส San Marco เชื่อมไปยัง Salute เพื่อให้ผู้ศรัทธาได้เดินข้าม Grand Canal ไปจุดเทียนสดุดีแด่พระแม่มารี ใครอยากไปร่วมงานนี้ให้เล็งช่วงปลายเดือน พย. ของทุกปีนะครับ

  • สองทุ่มกว่าแล้ว แต่พระอาทิตย์ยังค่อยๆ เคลื่อนตัวลับขอบฟ้าไปอย่างอ้อยอิ่ง ลมหนาวเริ่มพัดเข้ามาแทนที่ ผู้คนบนสะพาน Academia บางตากว่าที่คิด พื้นที่มากมายพร้อมให้จับจอง ผมหามุมเหมาะๆ กางขาตั้งและเซ็ทกล้องอย่างใจเย็น รอช่วงทไวไลท์ที่ฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม วิวที่เคยเห็นมาเป็นร้อยครั้ง ต่างกันที่คราวนี้ผมเป็นคนกดชัตเตอร์มันมาด้วยตัวเอง ความสุขเล็กๆ ของคนชอบถ่ายรูป





    เราใช้เวลากับวิวตรงหน้าอยู่นานเป็นชั่วโมง นั่งๆ ยืนๆ ดูผู้คนเดินผ่านไปมา แล้วหันมาถ่ายรูปเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวค่อยๆ มืดลง ซ้ายขวาของผมมีตากล้องหลากหลายเชื้อชาติแวะเวียนกันมาลั่นชัตเตอร์เก็บความประทับใจกันไม่ขาดสาย บางทีผมก็หยิบยื่นน้ำใจให้กับคู่รักที่ขาดไม้เซลฟี่ด้วยการอาสาเป็นตากล้องให้ หญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหยุดมองวิวอยู่นาน ผมคิดว่าเธอกำลังบันทึกทุกอย่างที่กำลังเห็นและกำลังรู้สึกลงในความทรงจำของเธอ ที่อีกฝั่งของสะพาน หนุ่มนักดนตรีเปิดหมวกเดินถือกีต้าร์มาเปิดการแสดงเล็กๆ เสียงสนทนาหลากภาษาบน Ponte della Academia จึงได้ตัวโน๊ตขับกล่อม ให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข

    ผมมักเก็บหอมรอบริบวันหยุดเอาไว้ไปเที่ยวทริปยาวๆ ไปทีนึงก็ 10 วันขึ้นไป บางทีทะลุไป 20 กว่าวันก็มี และในจำนวนวันทั้งหมด มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะชอบทุกสถานที่ ทุกโมเม้นต์ที่เกิดขึ้น ในทริปนึงมันอาจจะมีช่วงเวลาเพียงไม่กี่โมเม้นต์ที่เป็นตัวแทนของความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นในทริปครั้งนั้น เป็นความรู้สึกแรกๆ ที่เราเปิดเอารูปเก่าๆ มานั่งไล่ดู

    ณ สะพานแห่งนี้ ในคืนนี้ นี่เป็นโมเม้นต์ที่ผมชอบมากที่สุดในทริป และเป็นค่ำคืนที่น่าจดจำมากๆ 



    หลังจากขาแข็งจากเวลาที่ยืน และมือสั่นจากอากาศที่เริ่มเย็นลงทุกที่ เราตัดสินใจไปเดินเล่นที่ Rialto bridge กันต่อ Vaporetto ในตอนนี้เหมือนเรือข้ามฝากรอบสุดท้ายในวันเสาร์อาทิตย์ที่คนโหลงเหลง และนักท่องเที่ยวที่หลงเหลืออยู่กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในเรือ

    ผมว่าเวนิสเป็นเมือง 2 บุคลิก ตอนกลางวันเวนิสเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกทะลักผ่านสถานีรถไฟเข้ามา ส่วน Vaporetto ก็แน่นขนัดจนหาที่ยืนลำบาก และแถวยาวเฟื้อยปรากฎอยู่ทุกแห่งหน แต่เมื่อดวงอาทิตย์แปะมือเปลี่ยนเวรกับดวงจันทร์ นักท่องเที่ยวจะมลายหายไปกับสายน้ำ เวนิสกลายเป็นเมืองที่เงียบสงบ และมีเสน่ห์จนผมเชื่อว่าใครๆ ก็ต้องตกหลุมรัก เพื่อนส่วนใหญ่ของผมไปเที่ยวเวนิสแต่กลับไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ หลังจากเสร็จทริปนี้ ผมรีบกลับมาเชียร์ให้ไปซ้ำเลยด่วน ... แต่คราวนี้ลองค้างในเวนิสดูสักคืนสองคืน

    Rialto เป็นย่านเดียวในเวนิสที่ยังคงคึกคักในยามดึกดื่นแบบนี้ สมกับความเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของเวนิส  แสงไฟจากร้านอาหารและคาเฟ่เลียบ Grand Canal ยังคงส่องสว่าง ผู้คนยังคงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติในวงอาหารค่ำ กระเพาะของเราสองคนยังแน่นไปด้วยอาหารผิดเวลาที่เพิ่งทานมาในช่วงเย็น เราเลยตัดสินใจเลี้ยวเข้าร้านไอติม จัดเจลาโต้มาคนละโคน และเดินทางกลับที่พัก เป็นการปิดฉากค่ำคืนเจ๋งๆ ในเวนิสคืนนี้


    つづく
    พบกันใหม่ตอนต่อไป
    ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in