ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเราก็มาถึง Bellagio เมืองนี้มีความโดดเด่นที่ขั้นบันไดครับ คือบันไดเขาเยอะจริงๆ ถ้าวิ่งพรวดจากตีนบันไดไปจนสุดทางมีหอบแน่นอน แต่ไม่ต้องกลัวเพราะนักท่องเที่ยวจะถูกดึงดูดด้วยสองข้างทางที่เรียงรายไปด้วย ร้านอาหาร ร้านเจลาโต้ (ไอติมในแบบอิตาลี) และร้านขายของที่ระลึกอีกนับไม่ถ้วน
แต่ตอนนี้ ต้องร้านอาหารเท่านั้นครับ หิวมาก!!!
ด้วยกฎที่คิดขึ้นมาเองข้อที่ 1 ซึ่งกล่าวไว้ว่า
‘ร้านอาหารตรงใจกลางแหล่งท่องเที่ยวมักจะไม่อร่อย หรือหากอร่อยก็จะแพง’ ผมเลยรีดเร้นพลังงานที่สะสมไว้ตามพุง เพื่อเดินหาร้านอร่อยที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ของ Bellagio สุดท้ายก็สะดุดเข้ากับร้านที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนทะลุออกมาถึงด้านนอก
ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้านทันที
จานพร้อม อาวุธพร้อม บริกรพร้อม คนกินโคตรจะพร้อม
ผมจ้องเมนูที่มีอยู่หน้ากระดาษเดียวพร้อมกับนึกในใจ
‘โอ้วมายก๊อด แพงฉิบหาย’
ครั้นจะอุทานออกมาให้ได้ยินก็กลัวจะทำเสื่อมเสียชื่อเสียงนักท่องเที่ยวชาวไทย เลยต้องนั่งเก๊กเหมือนไม่สะทกสะท้านกับราคา เท่าที่กวาดสายตาดูมาตราฐานอาหาร 1 จานอยู่ที่ประมาณ 11-15 ยูโร หรือประมาณ 500-600 บาท แต่ถ้าเป็นจานเนื้อสัตว์ อาจมีทะลุ 20 ยูโรได้
ผมเองก็เตรียมใจมาบ้าง แต่พอมาเจอจริงๆ ก็สะดุ้งอยู่เหมือนกัน ที่บ้านเกิดเมืองนอนกำเงินไปในจำนวนเท่ากัน คงได้กินบุฟเฟต์เนื้อย่างสุดจนพุงกาง ที่นี่ได้สปาเก็ตตี้จานนึง แต่ก็เอาวะ! ทำงานหนัก มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องให้รางวัลตัวเองหน่อย แถมตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมา ยังไม่ได้กินอาหารแบบเป็นเรื่องเป็นราวสักมื้อเลย
มาเที่ยวที่ไหนก็ควรทานของขึ้นชื่อของที่นั่น
ด้วยความหิว เราเลยสั่งพิซซ่ามา 1 ถาด แล้วก็พาสต้าชื่อเรียกยากอีกหนึ่งเมนู
น้องบริกรยกตะกร้าใส่ขนมปังหลายก้อนมาวางไว้บนโต๊ะ ตอนแรกก็แค่จะกินเล่นๆ ฉีกเข้าปากไปเรื่อย อ้าวหมดก้อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ (แถมก้อนใหญ่ด้วยนะ) คราวนี้พอบริกรยกพิซซ่ามาเสิร์ฟเท่านั้นแหละ แทบอยากจะล้วงคอเอาขนมปังที่เพิ่งกลืนลงไปออกมา
นี่พิซซ่าหรือกระด้งเนี่ย! ไหงมันใหญ่แบบนี้ล่ะ
น้ำตาจะไหล ปกติพิซซ่าที่ไทย สั่งถาดกลางกินกันสองคนยังจุก แล้วนี่คือใหญ่โตมหึมามาก ผมหันไปแอบมองครอบครัวฝรั่งโต๊ะข้างๆ มีพิซซ่า 3 ถาดวางอยู่บนโต๊ะ พ่อกับแม่คนละถาด ลูกแบ่งกันอีกครึ่งถาด ทุกคนดูไม่ตื่นเต้นหรือเดือดร้อนกับขนาดของกระด้ง เอ้ย! พิซซ่าที่อยู่บนโต๊ะ... สำหรับคนยุโรปแล้วนี่คงเป็นเรื่องปกติสินะ
“Cancel พาสต้าทันไหม” เอกถาม แต่ผมส่ายหน้า เพราะเห็นบริกรผู้แข็งขันกำลังยกพาสต้าจานเบ่อเริ่มเดินตรงมาที่โต๊ะของเรา
ถามว่าอร่อยไหม คำตอบคืออร่อยมาก พิซซ่าเนื้อนุ่มกำลังดี แฮมกับซีสที่ใช้ก็หอมและเข้ากันสมกับเป็นพิซซ่าจากประเทศต้นตำหรับ ส่วนพาสต้าผมรู้สึกว่ามันเลี่ยนไปหน่อย นี่ขนาดผมเป็นมนุษย์เอเชียที่ทนทานกับชีสแล้วนะ เอกที่จวกตำปลาร้าเป็นอาจิณตักพาสต้าใส่ปากไปสามคำถึงกับยอมแพ้ (เฮ้ย! ไม่คิดจะช่วยกันหน่อยเหรอไง)
สุดท้ายเราสองคนก็เดินพุงโย้ออกมาจากร้าน ถึงแม้จะใช้ความพยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถยัดทุกอย่างลงไปในกระเพาะได้จริงๆ
เห็นทีคงจะต้องตั้งกฎข้อที่ 2 เพิ่มเติม....
จงอย่าริอาจดูถูกขนาดของพิซซ่าในอิตาลีเป็นอันขาด
つづく
พบกันใหม่ตอนต่อไป
ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in