เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เที่ยวกันFayathi Sorap
ท่องพระนคร ตะลอนท่าพระจันทร์
  •      สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน

         ยังคงอยู่ในช่วงไปเที่ยว เมื่อวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา เรามีโอกาสไปเยี่ยมชมแถวใจกลางกรุงเทพฯ จึงมาบอกเล่าเก้าสิบอีกเช่นเคย
         เขียนไปเขียนมารู้สึกเหมือนเขียนบันทึกมากกว่าเขียนบล็อค คุณผู้อ่านคิดเสียว่าเราเขียนบันทึกการเดินทางให้อ่านละกันนะคะ


         เนื่องจากเราดูข่าวช่องหนึ่งนำเสนอว่า บริเวณหน้าวัดพระแก้ว หรือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีอุโมงค์ลงไปเบื้องล่างและมีภาพน่าสนใจให้เที่ยวชม เรากับแม่เลยตั้งใจจะไปดูให้เห็นกับตากับเขาบ้าง
         ป้าจะไปด้วย แต่แม่สั่งห้ามไม่ให้ไป เพราะคิดว่าเดินเยอะชัวร์ ป้าคงเดินไม่ไหวแน่


         แล้วเรากับแม่ก็จับรถไฟใต้ดิน มาขึ้นที่สถานีสนามไชย โผล่ออกมาหน้ามิวเซียมสยามพอดิบพอดี เราน่ะอยากเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่แม่เห็นว่าตอนนั้นสายแล้ว แม่อยากไปวัดสองวัดและไปแถวๆท่าพระจันทร์มากกว่า ขืนเข้าพิพิธภัณฑ์จะมีเวลาเดินน้อย เลยบอกว่า ไว้คราวหน้าค่อยมาละกัน 

         เรากับแม่เดินจากมิวเซียมสยามไปที่วัดโพธิ์ แม่ตั้งใจจะมานมัสการและถวายปัจจัยแก่ "หลวงลุง" ซึ่งอยู่ที่วัดโพธิ์แห่งนี้
         "หลวงลุง" ที่กล่าวถึงนี้ ท่านคือเพื่อนสนิทของแม่ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เมื่อจบการศึกษาปริญญาตรีท่านได้บวชเป็นพระ และไม่สึกอีกเลยตลอดชีวิต แม่จึงมีเพื่อนเป็นพระนับแต่นั้นมา ท่านยังมีความสามารถด้านโหราศาสตร์ แม่มักจะแวะเวียนนำชะตาคนนั้นคนนี้ไปสอบถามเรื่องดวงชะตากับท่านเสมอ รวมถึงดวงชะตาเราก็เคยผ่านมือท่านเช่นกัน ปัจจุบันท่านนับว่าเราเป็นทั้ง "หลาน" และ "ลูกศิษย์" ไปในคราเดียวกัน
         ดีจังเลย อยากมีเพื่อนเป็นพระบ้าง แต่เพื่อนที่เราคุ้นเคยด้วย ที่เป็นผู้ชายแท้ๆนางก็ไม่โสด ที่โสดนางก็ไม่ใช่ผู้ชาย เฮ้ออ

         หลังนมัสการและสนทนากับหลวงลุงแล้ว เราก็เดินรอบๆวัด คุยกับแม่ว่าคนเยอะและหลายชาติเหลือเกิน ไม่ต้องเข้าไปไหว้พระนอนก็แล้วกัน เดี๋ยวเดินจากวัดโพธิ์ไปวัดพระแก้วต่อเลย จึงเดินลัดๆตามทางไปเรื่อย 
         ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะจริงๆ ได้ยินคนพูดหลายภาษามาก แล้วไหนใครบอกจีนยังปิดประเทศ ภาษาจีนลอยมาตามลมให้ได้ยินอยู่นะ (หนีห่าวค่ะ จงกั๋วเหริน)

         เดินลัดเลียบจนเลาะริมกำแพงวัดพระแก้วได้ คราวนี้เขาไม่ได้เปิดทุกประตู ประตูทางเข้ามีทางเดียวคือ ประตูที่หันหน้าสู่สนามหลวง โห คนร้อยแปด ไม่ใช่แค่ร้อยแปดคนนะ ร้อยแปดชาติด้วย 
         แล้วเราก็พบว่าถนนหน้าวัดพระแก้วที่คั่นระหว่างวัดกับสนามหลวงในวันนี้เขาปิดถนน ห้ามรถผ่าน เราจึงเดินบนถนนกันได้อย่างสบายใจ แต่กระนั้นก็ยังเข้าไม่ได้ทันที เขากั้นไว้เป็นทางให้เดินตามช่อง เดินตามไปเรื่อยๆจนถึงประตูใหญ่นั่นล่ะจึงเข้าได้ คนอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียว

         "คนไทยแสดงบัตรประชาชนค่ะ" 
         วัดพระแก้วในครานี้กั้นประตูทางเข้าเป็นสองฝั่ง หากเป็นต่างชาติต้องไปซื้อบัตรเข้าชมเสียก่อน คนละสองร้อยหรือห้าร้อยเนี่ยแหละ ส่วนคนไทยเข้าฟรี แต่ต้องแสดงบัตรประชาชน ได้ค่ะ เป็นคนไทยค่ะ เป็นตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ
         ไหลตามฝูงชนเข้าประตูมา โอ้ เหมือนจะมีบางส่วนของวัดที่อยู่ระหว่างปรับปรุง แต่ในอารามที่พระแก้วมรกตประดิษฐานนั้นสามารถเข้าชมได้ปกติ เพียงแค่ว่า
         "ห้ามถ่ายรูป" 
         ถอดรองเท้าเดินเข้าไปกราบพระ คนเยอะเช่นเคย หาที่นั่งพับเพียบได้แล้วก็ก้มลงกราบพระ อธิษฐานขอพรไปตามเรื่องตามราว พอไหว้พระขอพรเรียบร้อยก็เดินกลับออกมาด้านนอก 
         ถ่ายรูปในโบสถ์ไม่ได้ ถ่ายด้านนอกก็ได้

         แม่บอกว่าไปกินข้าวแถวท่าพระจันทร์กันเถอะ แล้วแม่ก็เดินลิ่วๆโดยมีลูกสาวเดินตามไปเอามือกุมขมับแล้วร้องว่า "คนเยอะจัง" เป็นระยะๆ โอ๊ย คนจะเยอะไปไหน 
         ผ่านชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง เห็นไกด์น่าจะชาวไทยอธิบายเรื่องราวเป็นภาษาสเปนปร๋อเลย วู้ พูดสเปนเก่งจัง (ปรบมือ)

         เดินออกมานอกรั้ววัดพระแก้ว มีพ่อค้าแม่ขายตามรายทางพูดจาเชิญชวนซื้อของ เรียกคนผ่านไปมาด้วยภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาจีนบ้าง บางทีก็เดินผ่านเขาไปเฉยๆ บางทีก็พูดตอบกลับไปว่า
         "ไม่เอาค่ะ" 

         เดินไปหาข้าวกินที่ร้านริมรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วพบว่าใกล้ๆกันถูกสร้างเป็น "ท่ามหาราช" มีอาคารสวยงาม มีร้านอาหารมากมาย มีของขาย และมีจุดชมวิว เลยเดินไปดูและเก็บภาพเป็นที่ระลึกกัน มองดูสายน้ำแล้วรู้สึกดี ถ้ากรุงเทพฯกลับไปเป็นเมืองน้ำดังก่อนเก่า ชีวิตคนเราจะเปลี่ยนไปอย่างไรนะ? 
         หวังว่าผู้มีอำนาจบางคนจะไม่ยกเลิกการเดินเรือสาธารณะนะ...
    ริมน้ำ ณ ท่ามหาราช สวยเนอะ

         เดินกลับมาแถวหน้าวัดพระแก้ว แล้วเดินลงอุโมงค์ใต้ดินไปชมภาพถ่ายและเรื่องราวที่จัดแสดงไว้ และเดินไป...เข้าห้องน้ำ ดีนะทำดี น่าเสียดายที่ลงไปดูแค่อุโมงค์เดียว ไม่เป็นไร เดี๋ยวคราวหน้าไปใหม่ 
         เดินบนถนนหน้าวัดพระแก้วผ่านพระรูปของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วจึงน้อมตัวยกมือไหว้ ฝาหรั่งที่เดินสวนมาคงจะแปลกใจ โอ๊ะ ยัยเอเชียทำอะไรนั่น? 
         มันคือวัฒนธรรมในการแสดงความเคารพของประเทศฉันจ้ะ  

         เดินเลยวัดพระแก้วมาหน่อย คราวนี้แม่เริ่มงอแงแล้ว ไม่อยากจะเดินกลับไปสถานีสนามไชย สุดท้ายเราจึงเรียกสามล้อให้ไปส่งหน้าสถานี สามล้อก็เหลือเกิน ดันไปส่งตรงทางลงที่ไม่มีบันไดเลื่อน แม่บ่นอุบ แต่พอเห็นนักท่องเที่ยวสามคนพ่อแม่ลูกที่นั่งสามล้ออีกคันตามหลังมาและลงที่เดียวกับพวกเราเดินนำลงบันไดไป ก็เลย อ่ะ ไปก็ไป
         เท่าที่แอบฟังเขาคุยกัน สามคนพ่อแม่ลูกน่าจะเป็นชาวเกาหลี(ใต้?) 

         มารถใต้ดิน ก็กลับรถใต้ดิน ทั้งขามาขากลับมีคนขึ้นแน่นเอี้ยด แถมหลายชาติอีกตะหาก จะว่าเสี่ยง(เรื่องโรคระบาด)ก็เสี่ยง เพราะนักท่องเที่ยวหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกตาน้ำข้าว ไม่ค่อยสวมหน้ากากอนามัยกันเลย แต่มองอีกมุมก็น่าชื่นใจแทนธุรกิจท่องเที่ยวที่มีรายได้ขึ้นมาอย่างล้นหลาม ส่วนคนธรรมดาอย่างเราๆ ก็คิดเสียว่า มีอาหารตานานาชาติให้เหล่ เอ๊ย ชื่นชม ก็แล้วกัน 


         one day trip ในครั้งนี้ เราว่าได้อะไรหลายอย่าง อย่างแรก คือเรามีโอกาสได้รับพร(จากหลวงลุง)และไหว้พระเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองก่อนปีใหม่ สองคือได้เยือนที่ๆไม่เคยไป นั่นคือท่ามหาราชและอุโมงค์หน้าวัดพระแก้ว สามคือได้รับรู้ว่า ตอนนี้ประเทศไทยเนื้อหอมมาก นักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในเกือบทุกย่างก้าวที่ไปนั้นคือสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดี สี่คือได้รูปสวยๆเพิ่มสำหรับทำวอลเปเปอร์หน้าจอคอมพิวเตอร์ ห้าคือได้แหล่งซื้อยาดมยี่ห้อประจำของแม่แห่งใหม่  
         ส่วนของแถมคือ ได้ส่องนักท่องเที่ยวหน้าตาดีหลายๆชาติ 555 ดีงาม 


         ของรางวัลจากการท่องเที่ยวนั้นน่าจดจำเสมอค่ะ 

      
         คุณผู้อ่านลองหาโอกาสไปท่องเที่ยวแล้วหรือยังคะ? 

         ไม่ว่าจะไปไหน ขอให้สนุกและปลอดภัยตลอดการเดินทางนะคะ 

         สวัสดีค่ะ 


         ปล. สำหรับคุณผู้อ่านที่สงสัยว่า เดี๋ยวนี้ยายคนเขียนมันอัพสกิลสามารถถ่ายรูปไฟล์เล็กได้แล้วเรอะ? คืองี้ค่ะ เราค้นพบว่า หลังนำรูปลงอินสตาแกรม รูปจะถูกสำเนาขึ้นอีกไฟล์ ไฟล์เหล่านี้มีขนาดเล็กกว่า 2mb เราจึงเลือกรูปที่อยากแปะบทความไปโพสต์ลงไอจีก่อน แล้วจึงเซฟเข้าบทความค่ะ 
         สะดวกมากๆเลย ;) 


         ก่อนจบ ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ เนื่องจากตั้งแต่ประมาณ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา ทาง minimore เปลี่ยนรูปแบบเว็บใหม่ ผลที่เกิดขึ้นคือ งานเขียนเรา...ไม่มีคนอ่านเลย (คาดว่าหาเจอยาก)ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจกลับไปเขียนเรื่องราวในบล็อกเดิมของเราแทน คุณผู้อ่านที่ถูกจริตในงานเขียนของเรา สามารถติดตามไปอ่านได้ที่
         https://alwaysfay.blogspot.com/2023/02/blog-post.html
         ขอบพระคุณสำหรับการติดตาม และขอบคุณทาง minimore ที่ให้พื้นที่เราได้ขีดๆเขียนๆเรื่องราวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้
         จนกว่าจะพบกันใหม่
         สวัสดีค่ะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in