เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryMister_P
Midnight In Bangkok
  • "ทำอะไรอยู่อ่ะ อาบน้ำยัง?" 
    ในขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าจอโน๊ตบุค ผมเหลือบไปมองข้อความที่ว่านี้บนจอโทรศัพท์ที่ผมวางชาร์จแบตไว้ข้างๆ ข้อความนี้มาจากคนพิเศษคนหนึ่ง เวลาตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง 
              "กำลังจะไปอาบ" ผมพิมพ์ตอบกลับ
              "รีบอาบเร็ว" คำสั่งนี้ทำให้ผมเริ่มเอะใจ 
              "ทำไมต้องไล่อ่ะ" ผมถามไปอย่างกวนๆ
              "อีก 15 นาทีถึง" ตาผมไม่ได้ฝาดไปอย่างแน่นอน ผมแปลกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น ผมถามเธอว่าทำไม จะพาไปไหน เธอได้แต่ตอบอ้อมๆ และไม่ยอมให้คำตอบจริงๆเสียที ผมไม่มีทางเลือกเลยต้องรีบไปอาบน้ำแล้วลงมาเตรียมตัว หลังจากแต่งตัวได้ไม่นาน เธอก็มาถึงหน้าซอยของบ้านผมแล้ว สถานการณ์น่าสับสนและงุนงงไปหมด ทำเอาผมต้องรีบสาวเท้าออกไปหาเธอเวลาตอนนั้นเป็นเวลา 2 ทุ่ม 45 แล้ว อากาศกำลังสบาย ไม่มีการสัมผัสถึงความร้อนอบอ้าวเหมือนอย่างในตอนกลางวัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหนา มีแววของฝนที่จะตกลงมา ผมเดินไปจนถึงปากซอยก็เจอรถคันเล็กของเธอที่จอดอยู่ ผมก้าวเท้าวิ่งเหยาะๆไปหาทางรถของเธอ แล้วขึ้นไปนั่งเบาะหน้าข้างๆเธอ
              สิ่งแรกที่ผมเห็นภายในรถคือใบหน้าของเธอที่ยิ้มแฉ่งเหมือนเตรียมตัวที่จะหัวเราะได้ตลอดเวลา ภายใต้แสงสีส้มในรถที่ฉายรอยยิ้มของเธอให้ดูชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ผมยิ้มตอบแล้วหัวเราะให้กับความทะเล้นของเธอ
             "สรุปนี่จะพาไปไหนอ่ะ" ผมยังคงถามคำถามเดิม แต่เธอก็ยังเลี่ยงที่จะตอบ
             "เออน่า เดี๋ยวก็รู้เองแหละ ถ้ารู้มันก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ" เธอไม่ลังเลที่เหยียบคันเร่งขับออกไป ผมได้แต่นั่งสงสัยต่อไปข้างๆเธอ
             "แต่อย่าคาดหวังมากนะ" เธอพูดต่อ
             "อะไรคือการที่บอกว่ามันเซอร์ไพร้ส์ แต่อย่าคาดหวัง" ผมถาม
             "เออน่าๆ"
              เวลาค่อยๆเคลื่อนผ่านไปบนหน้าจอดิจิตอลบนรถ แปลกที่ตอนนี้ผมทำได้แค่มองมันสลับกับใบหน้าของผู้หญิงข้างๆผมที่กำลังง่วนอยู่กับ GPS บนมือถือของเธอ วิวทิวทัศน์ข้างนอกไม่เคยมีอะไรแปลกใหม่ เป็นเพียงบรรยากาศของชานเมืองที่เต็มไปด้วยเสียงไฟริบหรี่และตึกแถวเก่าๆ ผมไม่ค่อยคุ้นชินกับเส้นทางที่เธอกำลังพาผมไปสักเท่าไหร่ จริงๆผมแอบหวั่นในใจว่าเธอจะเอาตัวผมไปทำอะไรหรือเปล่า พูดแล้วผมก็หันไปมองที่เธออีกครั้ง อันตรายไม่น่าจะเกิดขึ้นจากผู้หญิงร่างเล็กคนนี้หรอกมั้ง ความจริงจังในการใช้มือถือของเธอเผยให้เห็นถึงความไร้เดียงสาอยู่แปลกๆ แน่นอน ผมยิงคำถามเดิมไม่หยุด และเธอก็ให้คำตอบเดิมอยู่ซ้ำๆ 
              นาฬิกาดิจิตอลบอกเวลา 4 ทุ่ม เรายังคงอยู่บนถนนที่เริ่มจะมีรถแล่นผ่านอยู่พอควร ดูเหมือนว่าเมื่อชั่วครู่เราอยู่ชานเมือง แล้วกลับเข้ามาในตัวเมืองอย่างไม่ทันสังเกต ผมเริ่มเห็นทางด่วนที่อยู่เหนือหัวพวกเราเป็นแนวยาวไปข้างหน้า มีห้างที่รวมตัวกันอยู่สองฝั่ง พูดไม่เต็มปากว่าผมพอจะคุ้นๆที่อยู่บ้าง บางทีผมจำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความสงสัย ให้เป็นไปตามแผนของเธอบ้าง ผมเหม่อมองไปข้างนอกหน้าต่างอย่างเคย มองแสงไฟในยามราตรีกับเสียงเพลงดึ่มๆในรถที่เธอเปิดไว้
            เธอขับเลี้ยวออกจากถนนหลัก มารู้ตัวอีกทีเธอเริ่มชะลอรถลง เหมือนกำลังหาที่จอดเหมาะๆสักที่ บรรยากาศค่อนข้างเปลี่ยว ตรงซ้ายมือทีสนามบาสคอนกรีตที่มีคนเล่นอยู่ 4-5 คน เรากำลังอยู่ใต้สะพานบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นทางด่วนหรือเปล่า ตรงใต้สะพานมีรถอยู่นับสิบคันจอดอยู่ ทางขวามือมีเซเว่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแสงหลัวๆจากไฟสีส้มข้างทาง มีคนประปรายอยู่หน้าร้าน มีรถเข็นขายก๋วยเตี๋ยวและลูกชิ้นปิ้งตั้งอยู่ ตอนแรกผมนึกว่าเธอจะพาผมมาบาร์เหมือนพวก unseen bar ที่ซ่อนตัวอยู่ในเมือง เพราะถ้าสังเกตจากจำนวนรถแล้ว คงมีสาเหตุที่ทำให้พวกเขามารวมตัวจอดตรงนี้กัน อาจเป็นปาร์ตี้สักงาน มินิคอนเสิร์ต แต่ผมไม่ยักจะได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงคนที่เล่นบาสกับคนที่อยู่ตรงเซเว่น เธอเลือกจอดตรงริมถนนพร้อมกับคำพูดที่แผ่วเบาเหมือนบอกกับตัวเองว่า 'หวังว่าจะไม่โดนล็อคล้อนะ' แต่กระนั้นผมก็ทำเป็นสำรวจพื้นที่แถวนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าตำรวจจะไม่มาเล่นงานเราในเวลาดึกดื่นตอนนี้
              ผมได้แต่เดินตามเธอไป เหมือนผมหลุดเข้ามาในแดนพิศวงที่สายตาได้แต่สอดส่องสิ่งต่างๆอยู่รอบตัว แต่ก็ยังคงจับจ้องไปที่เธอ อีกใจเป็นห่วงเธอท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ แต่อีกใจนึกไปพลางๆว่าเธอจะพาผมไปไหนกันแน่ เธอเดินข้ามถนนไปทางเซเว่น ตรงนี้เองที่พอผมหันไปทางขวาทำให้ผมรู้ว่าเรากำลังอยู่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่งในกรุงเทพ บรรยากาศที่ดูสุ่มเสี่ยงอยู่นิดๆ แต่ก็มีคนอยู่น้อยนิดที่พอทำให้รู้สึกปลอดภัยได้บ้าง มีประตูเหล็กที่เธอได้แต่คอยลุ้นว่ามันจะเปิดให้เข้าได้หรือไม่ เมื่อพบว่ามันเปิดอยู่ เราทั้งสองต่างเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกของความเป็นผู้บุกรุก ทั้งๆที่ไม่มีป้ายเตือนห้ามเข้าใดๆ แสงไฟสีส้มสว่างจ้าลงบนทางเดิน มีรถจอดอยู่มากมาย จนทำให้ผมรู้ภายหลังว่าเจ้าของรถส่วนใหญ่คือคนที่อาศัยอยู่แถวนี้ ไม่มีงานปาร์ตี้หรือมินิคอนเสิร์ตแต่อย่างใด บทสนทนาระหว่างผมกับเธอเกิดขึ้นเป็นพักๆ ความสงสัยที่มีอยู่ก่อนหน้าหายดับไปเมื่อเธอกล่าวกับผมว่า 
              "มาถึงละ" เธอหันหน้ามามองผมที่เดินตามอยู่ข้างหลัง "มันคือสะพานพระราม 8 นั่นเอง" มีความนำเสนอในน้ำเสียงของเธอ แขนอีกข้างของเธอยื่นไปข้างหน้าเหมือนกำลังนำเสนออยู่จริงๆ
              "เฮ้ย" ผมอุทานอยู่แค่นั้น เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอนำเสนออยู่มันมีความพิเศษอยู่จริงๆ แน่นอน ผมไม่เคยมาใต้สะพานในเวลาค่ำคืนแบบนี้เลย ทั้งแสงไฟและรูปทรงของสะพานทำให้ผมตื่นตะลึงอยู่หน่อยๆ ผมได้แต่มองพื้นที่ที่อยู่ข้างหน้า 
              "จริงๆเราอยากมาที่นี่นานแล้วแหละ ตั้งแต่เด็กละ" ตอนนี้เธอเหมือนไกด์ที่พานักท่องเที่ยวซึ่งก็คือผม ชมพื้นที่แถวนั้น เธอพูดกับผมขณะที่ผมกำลังมองความสวยงามของพื้นที่เล็กๆใจกลางเมือง
               "ตั้งแต่เด็กเลยเหรอ" ผมถาม
               "อื้อ" เธอเว้นคำพูดไปสักพัก "เราเคยอยากให้แม่พามาแหละ แต่แบบพอเอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้มากันสักที" เธอพยักหน้าเหมือนย้ำความจริงในคำพูดของเธอ ผมได้แต่มองริมฝีปากที่ประกบเรียบนั้นเป็นการย้ำเช่นเดียวกันว่าเธอพูดจบแล้ว เราทั้งสองเปิดประตูรถออกไปข้างนอก ผมหยิบสายสะพายกล้องตัวเก่งมาจากที่นั่งข้างหลังแล้วสะพานอย่างพะลุ่มพะล่ามข้างตัว ส่วนเธอนั้นหยิบแค่กระเป๋าสะพานเก๋ๆตัวนึงออกมาเหมือนกัน จากนั้นเราเดินข้ามถนนที่มันเงาจนสะท้อนแสงสีส้มจากไฟริมทางไปยังทิศทางของเซเว่น แล้วเดินเรียบไปตามทางฟุตบาทจนถึงทางเข้าไปใต้สะพาน สายตาของผมมัวแต่จับจ้องความใหญ่โตของสะพานจนเดินเลยบันไดทางขึ้น เธอลากแขนรั้งผมไว้ แล้วขึ้นไปบนบันไดที่วนเป็นสี่เหลี่ยมขึ้นไปถึงตัวสะพาน 
              เสียงของยางรถยนต์ที่เบียดบดไปกับถนนส่งเสียงดังและสัมผัสได้ถึงความรวดเร็ว ยิ่งได้ยินเสียงเหล่านั้นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็แปลว่าใกล้ถึงบนสะพานแล้ว 
              “จริงๆเวลาแบบนี้มันน่ากลัวนะ พวกโจร พวกเด็กอะไรพวกนี้ ระวังของไว้ดีๆล่ะ” เธอบอกผมแต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มราวกับเธอไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่ว่านั่นเท่าไหร่ ผมพยักหน้าตอบเล็กน้อย
              บนสะพานแสงสีส้มส่องแสงสว่างกว่ามาก บนกลางสะพานมีรถแล่นผ่านอยู่บ้างเป็นครั้งคราว มีทางเดินขนาบอยู่สองข้าง ฝั่งตรงข้าม และฝั่งที่เรากำลังเดินอยู่ ลมพัดหวิวๆเป็นพักๆ ทางเดินทอดยาวไกลไปถึงสุดสะพาน ผมเห็นคนอยู่บ้างเล็กน้อยบนทางเดิน บ้างมาเป็นคู่รัก บ้างมาเป็นกลุ่มเพื่อถ่ายภาพอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมถึงกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้จักหลับจักนอนเดินเป็นกลุ่มใหญ่ๆอย่างสนุกสนาน ถ้าไม่นับพวกคนเหล่านั้น เราทั้งสองต่างเดินท่ามกลางความเดียวกลางสะพานใหญ่ คงมีเพียงดวงดาวที่คอยเป็นประจักษ์พยานของความเป็นสองเรา 
              เราเดินเงียบๆกัน เมื่อเราพยายามสร้างบทสนทนา กลับกลายเป็นเพียงแค่บทสนทนาสั้นๆ ทิ้งความกระอักกระอ่วนใจไว้เบื้องหลัง ผมเดินทอดน่อง เอามือลูบจับไปบนรั้วสะพาน บนนั้นเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนสะเปะสะปะไม่ปะติดปะต่อกันเรียงรายอยู่ ผู้คนที่ผ่านมาบนนี้คงมีเรื่องราวที่หลากหลาย แม้แต่ตัวผมเองก็กลายเป็นเรื่องราวบนนี้ ถึงแม้จะไม่ได้สลักไว้ซึ่งลายลักษณ์อักษรก็ตามที ความใหญ่โตของสะพานทำให้ใจผมหวิวแปลกๆ เมื่อแหงนคอดูเสาสะพานที่สูงชะรูด ทำเอาผมรู้สึกหวั่นกลัวอยู่ในใจ นี่คงเป็นความรู้สึกของแจ๊ค ตอนที่เขาเจอยักษ์บนดินแดนเหนือเมฆนั่น หลังจากนั้นผมก้มลงมองข้ามรั้วสะพานลงไปข้างล่าง ก็รู้สึกกลัวไปอีกแบบ แม่น้ำสีเขียวยามกลางวัน ตอนนี้กลายเป็นสีดำมะเมื่อมราวกับน้ำมันดิบ หากแต่บนผิวน้ำประดับประดาไปด้วยแสงไฟระยิบระยับมาจากทุกทิศทาง เรือขนของ ขนขยะ สารพัดขนล่องลอยไปบนผิวน้ำมันดิบนั่น ‘ทำไมเขาถึงคิดฆ่าตัวตายกันที่นี่กันนะ?’ ผมคิด
    แต่การคิดเรื่องความตายของคนทำให้ผมขนลุก เลยสลัดความคิดนั้นเสีย 
              เธอเดินตามข้างหลังผมอยู่ไม่ห่าง เหมือนเธอกำลังปล่อยให้ผมอยู่กับตัวเองไปสักพัก เราเดินไปจนถึงสุดสะพานแล้วเดินกลับ ช่วงขากลับผมเพิ่งมานึกขึ้นได้ว่ามีกล้องที่แนบอยู่กับตัวมาตลอด เลยถือโอกาสหยิบมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เธอเดินนำหน้าผมไป ผมเลยถ่ายรูปเธอในจังหวะที่คิดว่าสวย รอยยิ้มของเธอยังมีความสดใสอยู่แม้แต่บนจอแสดงภาพของกล้อง 
              มันเป็นช่วงเวลาราตรีที่สวยงามอย่างน่าประหลาด ราวกับทุกอย่างเป็นใจกับการมาของเรา เมฆฝนที่ขยับเขยื้อนส่งสัญญาณของมันด้วยปรอยฝนเล็กน้อยก่อนที่มันจะตัดสินใจไม่ถาโถมลงมาด้วยพวกพ้องที่หนักหน่วง แสงไฟบนท้องถนนเคล้าไปกับแสงสีของเมือง เสียงคลื่นแม่น้ำที่กระทบกับของฝั่ง เวลาผ่านไปนานเท่าใดมิอาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆมันคือเวลาแห่งความสุขใจที่เคลื่อนผ่านไปอย่างเร็วไว         พวกเราตัดสินใจที่ไปหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักขวดเพื่อมานั่งดื่มกันรับบรรยากาศใต้สะพาน ลองคิดดูสิ ใต้สะพานยามวิกาล มีเส้นกั้นบางๆระหว่างความน่ากลัวและความโรแมนติก อีกใจผมก็นึกถึงโจรปล้นบ้าง หากผมโดนฆ่าตาย ณ เวลาที่เป็นสุขขนาดนี้มันคงเป็นอะไรที่น่าสลดอยู่พอควร แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น มีผู้คนที่เดินและนั่งอยู่บ้าง บางคนเล่นสเก็ตบอร์ด บางคนมาเป็นกลุ่มเพื่อนครบชายหญิง บางคนมาคนเดียว  แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นกันคือกลุ่มของคนไร้บ้านที่นอนกันอย่างสงบ ไม่อยากที่จะรบกวนใคร จากภาพที่ดูน่าอันตรายแต่ต้นกลายเป็นความสงบใจอย่างน่าประหลาด ผมอดนึกไม่ได้ถึงที่มาของเรื่องราวแต่ละคน ณ ที่นั้น ทุกคนล้วนมีเป้าหมายในการมานั่งที่เปลี่ยวๆแบบนี้ ใต้สะพาน เวลาเกือบเที่ยงคืน ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีอะไรในใจทั้งทุกข์และสุขคลุกเคล้ากันไป คนที่มาเป็นคู่มักเป็นคู่รัก คนมาเป็นกลุ่มเขามาเพื่อกระชับมิตรความสัมพันธ์ คู่ผมไม่รู้จะเอาอะไรมาอธิบาย แต่ความรู้สึกของผมมันฟ้องว่าเราเป็นพวกเดียวกันกับพวกคู่รักแต่ไร้สถานะซึ่งกันและกัน ผมสังเกตได้ว่าคนที่มาคนเดียว หากผมเข้าไปในตาของเขามันมีแววตาที่เศร้าอยู่ ผมพยายามมองเขาให้น่าเกลียดน้อยที่สุด เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ข้างๆเขามีเบียร์หนึ่งขวด ตาเหม่อลอยไปในอากาศ เงียบไม่มีเสียงแม้แต่เสียงลมหายใจ เขานิ่งเหมือนนั่งหลับต่างตรงแค่เขาลืมตาอยู่ ภวังค์ในความคิดคงขอยืมตัวเขาไปสักพัก ให้เขาได้อยู่กับสิ่งที่เขาคิด ทบทวน และสรุปออกมา ภายในค่ำคืนเดียว          ผมยอมรับว่ามันคือครั้งแรกในชีวิตที่ได้ทำอะไรแบบนี้กับใครคนหนึ่งที่พิเศษ ผมเชื่อว่าเขาคงเป็นคนพิเศษสำหรับผมคนหนึ่ง นั่งใกล้ชิดกันมองเรือที่แล่นผ่านไปมาต่อหน้าเรา พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยแฉะ หลากอารมณ์ความรู้สึกที่ไหลเข้ามารวมกัน เหมือนโลกนี้มีเพียงเราสองคน ประโยคนี้ไม่เคยเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะความรู้สึกตอนนั้นมันพิเศษจนเราไม่คาดการณ์เวลา ไม่อยากเริ่มจับเวลา และไปให้ถึงช่วงที่หมดเวลา ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร คนรอบข้าง คนในชีวิต แม้แต่ตัวเองก็เกือบจะถูกลืมไปและถูกกลืนกินเข้าไปในห้วงความรู้สึกเหล่านั้น เสียงเพลงล่อยลอยมาจากมือถือที่ผมเปิดไว้ ศีรษะของเธอที่เอนเอียงต่ำลงมาบนตักของผม ทิ้งไว้ซึ่งความเงียบงันของความรู้สึก ความรู้สึกที่ตื่นเต้นปนความสุขแฝงไว้ให้เห็นบนรอยยิ้มทั้งผมและเธอ เราเล่าเรื่องที่เกินจริง เล่าเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ ความฝันที่ฟุ้งเฟื้อ จินตนาการที่โลดแล่น ความเข้าใจในการเรื่องเล่าเป็นเพียงความเข้าใจที่เข้าใจได้เพียงแค่สองเรา มันเป็นบทสนทนาที่ลื่นไหลแม้แต่ยามพระอาทิตย์ขึ้น พวกเราก็ยังคงอยู่กับมันอย่างไม่จบไม่สิ้น แต่อนิจจา ช่วงเวลาความสุขต้องมีเวลาจบของมัน
              "ตอนแรกคิดเอาไว้ ถ้าแกหิวว่าจะพาไปกินอะไรแถวประตูผี" เธอถาม
              "เอาดิ นี่อยากกินผัดไทประตูผีพอดี"
              "แกหิวยัง"
              "ก็นิดนึง แต่ไปเลยก็ได้" แน่นอนผมยังอยากอยู่ตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อผมมองดูนาฬิกาบนข้อมือก็นึกไปล่วงหน้าว่าสักเวลาหนึ่งพวกเราก็ต้องกลับกัน อย่างน้อยอยากให้ผมและเธอได้ใช้เวลาด้วยกันหลายๆที่ นอกจากแค่ที่เดียว ผมเลยตัดสินใจไป จากที่หิวเล็กน้อยก็เริ่มหิวมากขึ้น

              มันคือเวลาเที่ยงคืนในใจกลางเมืองมหานคร ราตรีกาลคือเวลาที่ผมชอบมากที่สุดตั้งแต่ผมยังเด็ก พ่อผมเป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด ส่วนผมเกิดอยู่ต่างจังหวัด และต้องเข้ามาในเมืองกรุงเทพปีละครั้งสองครั้ง ทุกครั้งพ่อผมจะขับรถมา เวลาที่เข้ามาถึงในเมืองทุกครั้งมักเป็นเวลาห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน พอๆกันกับเวลาตอนนี้ ท้องถนนโล่งและเงียบ แสงไฟยามราตรีบนท้องถนนนี่แหละคือเสน่ห์ของกบฎแห่งความมืดที่เรายากจะปฏิเสธ เสียงรถยนต์ของเธอคงเป็นอีกหนึ่งในกบฎแห่งความเงียบงัน ขับเคลื่อนไปบนท้องถนนสีดำมุ่งตรงจากอีกที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง

               ถึงแม้จะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว ร้านผัดไทคนไม่เคยจะน้อยลงเลย ยังดีที่ยังมีโต๊ะที่พอว่างสำหรับพวกเราสองคน การกินผัดไทเป็นเพียงการยืดเวลาในการอยู่ด้วยกัน และเป็นการลองกินผัดไทประตูผีครั้งแรกของผม มันอาจจะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำถาวร เพราะผมไม่ค่อยได้เข้ามาในตัวเมืองมากขนาดนี้บ่อยๆ หากมีการเดินทางเข้ามา ณ ที่แห่งนี้อีกครั้ง ความทรงจำระหว่างผมกับเธอคงต้องผุดขึ้นมาอย่างแน่นอน เป็นความทรงจำที่ไม่สามารถสลัดทิ้งได้ไปตราบนานเท่านาน คงมีแต่โรคอัลไซเมอร์เท่านั้นที่พรากความทรงจำเหล่านั้นได้ ผมไม่สามารถจินตนาการเรื่องของเราหลังจากคืนนี้วันนี้ได้ จนบางทีผมอยากหยุดเวลาไว้เพียงแค่วันนี้ จากการที่ไม่สามารถจินตนาการเรื่องหลังจากนี้ ผมเริ่มกลัวอย่างไม่มีเหตุผล กลัวว่าความสุขในการอยู่ด้วยกันของเรามันลดลงหลังจากนี้ อาหารบนจานย่อมมีวันหมด ลูกค้าย่อมมีเข้าและออก พวกเราก็เช่นกันอาหารบนจานของเราหมดเกลี้ยง และพวกเราเป็นลูกค้าที่เข้ามาและกำลังจะออกไป

            ณ เวลาที่ผมเดินตามหลังเธอไปอย่างช้าๆ ผมได้แต่นึกว่า 'เวลาหมดแล้วสิ' ด้วยความกะจองอแงที่เริ่มทวีมากขึ้น ตอนที่พวกเราเข้าไปนั่งบนรถแล้ว ผมขอนั่งอยู่กับเธอบนรถสักพักก่อนออกไป เป็นด่านการทำใจในการลาจากกันอีกหนึ่งด่าน และนี่คงเป็นด่านสุดท้ายแล้ว

            มันเป็นเพียงการเคลื่อนย้ายสถานที่ แต่บทสนทนายังคงดำเนินไปเหมือนเดิม ราวกับมันต่อเนื่องจากช่วงเวลาที่อยู่ใต้สะพาน เพียงแต่รอบข้างพวกเราไม่มีใครนอกจากแสงไฟสีส้มบนถนนข้างหน้าพวกเรา ความเงียบมีมากกว่าเดิม ทิ้งไว้เพียงเสียงของลมหายใจของสองเราและเสียงของลมที่พ่นออกมาทางช่องแอร์ ความเงียบงันกดดันให้เราพูดคุยกัน ความเงียบทำให้เกิดช่องว่างระหว่างการสนทนา ความเงียบทำให้เกิดสัญญาณที่รับรู้ด้วยความรู้สึก ด้วยสายตา ด้วยท่าทางที่มีให้กัน เธอนอนบนตักผมอีกครั้ง แล้วเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากกว่านั้นนอกจากคำพูดสั้นๆ และแล้วเวลานั้นก็มาถึง เวลาที่เธอต้องสตาร์ทรถแล้วเหยียบคันเร่งออกไปจากที่ที่เราอยู่ตอนนี้ แต่ก่อนที่เธอจะทำอย่างนั้น เธอนิ่งเงียบไปสักพัก แววตาเศร้า มองหลุบต่ำลงไปทางพวงมาลัย ผมมองทุกอากัปกิริยาที่เธอทำ มองด้วยสายตาแห่งความเอ็นดูและความห่วงใย เธอสบตาผมโดยบังเอิญ นั่นเป็นอีกครั้งที่สัญญาณเริ่มมีการทำงาน เราสองต่างรับรู้มันด้วยความรู้สึกพิเศษ เธอโน้มตัวเข้ามา ผมโน้มตัวเข้าไปหาเธอ ความเงียบเท่านั้นที่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือเสียงสั้นๆ เป็นกบฎเล็กๆแห่งความเงียบงัน
    ..................
    ...............
    .....
    ...
    ...
    'I am still waiting for you' 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in