เสียงกดกริ่งหน้าห้องตั้งแต่เช้าตรู่บังคับให้เขาจำใจต้องขุดตัวจากที่นอน แต่ไม่วายที่จะหอบหิ้วผ้าห่มห่อตัวเดินออกจากเตียงด้วย ยิ่งเขาเดินช้าเสียงกดกริ่งยิ่งดังขึ้นรัว ๆ เพื่อเร่งเร้า
นี่มันเช้าวันหยุดนะโว้ยยยยย
เขาดึงประตูเปิดเต็มแรงกะจะด่าคนที่มารบกวนการนอนให้เต็มที่แต่ก็ต้องชะงักหุบปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่หน้าห้องเขาเป็นสาวสวยผมบลอนด์สว่างเกือบซีดที่กำลังใส่ชุด...เอ่อ.....แซนตี้??
“ฉันมาตามคำขอ”
เสียงนุ่ม ๆ ดึงมาซาโตะให้หลุดออกจากหุบเขาตรงหน้า
“ครับ? คำขอ?”
“ฮายาคาวะ เดวิด มาซาโตะ” เธอไม่ตอบคำถามแต่เรียกชื่อเขาแทน
“คะ ครับ ใช่ครับ”
“ขอฉันเข้าไปหน่อย จะให้หนาวตายอยู่ตรงนี้รึไง?”
“โอ๊ะ ขอโทษครับ เชิญเข้ามาข้างใน”
มาซาโตะเบี่ยงตัวหลบเพื่อเปิดทางให้เธอได้เข้ามาข้างในตามคำเชิญ จังหวะที่เธอเดินผ่านทำให้ได้กลิ่นจากผมยาวที่พริ้วตามการขยับตัว
หอม
แขกของเขาก้มหน้าก้มตาพยายามถอดรองเท้าอยู่นานสองนาน ปากสวย ๆ ก็บ่นอุบอิบไปพลาง คงถอดยากน่าดูท่าทางเงอะงะเชียว แต่ในใจเขากลับภาวนาให้เธอถอดนาน ๆ มุมนี้มันก็ดีนะ แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่เมตตาคนบาปเมื่อในที่สุดเธอก็สะบัดรองเท้าทิ้งได้ ก่อนจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปทางห้องนั่งเล่นอย่างรู้งาน ทิ้งให้เจ้าของห้องเดินตามก้นต้อยๆ เข้าไป
“จะดื่มอะไรหน่อยมั้ยครับ”
“ไม่ล่ะ”
เธอนั่งกอดอกถอนหายใจอยู่บนโซฟาตัวยาวไม่สนใจเขาเลยซักนิด ตาโต ๆ ที่ติดปรือจะปรือปิดลงมาเล็กน้อยมองไปรอบ ๆ ห้องของเขาโดยไม่พูดอะไร สร้างความกระอักกระอ่วนให้เจ้าของห้องไม่น้อย
“เอ่อคือ ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมขอไปนอนต่อได้มั้ยครับ”
“ได้สิ” เธอตอบแล้วลุกขึ้นจากโซฟาเดินมาหาเขา
“นำไปสิ”
“เอ๊ะ”
มาซาโตะเผลอทำหน้าเอ๋อใส่สาวสวยตรงหน้าเธอขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“เอ๊ะอะไร จะนอนไม่ใช่หรอ ก็ไปห้องนอนสิ”
“แล้วคุณ”
“ก็จะนอนด้วยไง”
“เอ๊ะ”
“เอ๊ะอะไรนักหนาวะ รีบ ๆ เดินไปซักที”
“คะ ครับ”
อาจจะเป็นเพราะเขาง่วง ๆ เบลอ ๆ เลยคิดว่าการสนทนาเมื่อกี้มันแปลก ๆ พิกล แต่ก็ยอมเดินเข้าห้องนอนไปอย่างว่าง่าย เปิดประตูห้องรอเพื่อให้เธอเข้าไปก่อน แขกของเขาเดินตรงไปที่เตียงแล้วก้าวขาเล็ก ๆ ขึ้นไปบนเตียงทันที พร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงเรียกให้เขาตามไปด้วย มาซาโตะเดินตามเข้าไปแล้วปีนขึ้นเตียงตามเธอ แซนตี้แสนสวยเอนตัวลงไปพิงที่หมอนใบโต
“จะนอนยังไง”
“นอน...นอนยังไง อะไรครับ”
เธอถอนหายใจอย่างหงุดหงิด มือสวย ๆ เอื้อมมารั้งคอเขาจนเซลงไปซบที่เนินอกนุ่มๆ ตกใจแต่ชอบก็เลยเงียบไว้ เธอสอดแขนไว้ที่ใต้คอมาซาโตะแล้วกอดไว้หลวม ๆ มืออีกข้างดึงผ้าห่มที่พันตัวเขาออกก่อนจะตะวัดผ้าห่มผืนหนาคลุมทั้งตัวเองและตัวมาซาโตะไว้จนมิดคอ
“ฝันดี”
“…ฝันดีครับ”
เนินนุ่ม ๆ ที่แนบอยู่ข้างแก้มเขาขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของเจ้าตัว
อุ่นชะมัด นุ่มด้วย
ไม่นานทั้งแขกและเจ้าของห้องก็หลับตามกันไป
.
.
.
มาซาโตะตื่นมาอีกทีตอนบ่าย ที่นอนข้าง ๆ ว่างเปล่าไม่มีใครอยู่แล้ว คงฝันไปล่ะมั้ง ก็เล่นคิดเรื่องนี้แทบทั้งคืน หลังจากตื่นเขายังคงนอนนิ่งซุกตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ขยับไปไหน จนกระเพาะเริ่มส่งเสียงโครกครากงอแงเพราะในท้องไม่มีอะไรให้ย่อยอีกต่อไปนอกจากผนังกระเพาะ เขาจึงต้องจำใจบอกลาที่นอนอุ่น ๆ เดินออกจากห้องนอนตรงไปทางห้องครัวทั้งชุดนอน เสียงกุกกักในครัวทำให้ฝีเท้าเขาชะงักกึก รีบขยับตัวหลบเข้าชิดกำแพงทันที
ขโมยหรอ แต่เขามั่นใจว่าเมื่อคืนก็ล็อคห้องดีนะ จะมีใครเข้ามาได้ยังไง
เท้าเปล่า ๆ ค่อย ๆ ย่องไปตามพื้นที่ปูพรมอย่างดี ชายหนุ่มผมบลอนด์ยื่นหน้ามองผ่านกรอบประตูเพื่อสำรวจพื้นที่ต้องสงสัย แต่กลับไม่เจออะไรเลย นอกจากของที่เคยอยู่ในห้องนั้นแล้วทุกอย่างก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ยังไม่ทันที่เขาจะได้โล่งอกก็ต้องตกใจเพราะเสียงอะไรบางอย่างกระแทกกับโต๊ะกลางครัว ตามมาด้วยเสียงโอดโอยเล็ก ๆ เขาย่องเข้าไปตามเสียงนั่นเดินลึกเข้าไปจนพ้นโต๊ะเจ้าปัญหาจึงเจอที่มาของเสียง หญิงสาวเจ้าของผมบลอนด์สว่างที่ถูกรวบขึ้นไปมัดไว้ลวก ๆ ที่กลางท้ายทอยกับชุดกระโปรงแดงคุ้นตา กำลังนั่งจุ้มปุ้กกับพื้นทำปากยื่นหน้างอลูบหัวตัวเองป้อย ๆ เขาแทบหลุดขำถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นผู้หญิง
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เขายื่นมือไปให้เธอจับเพื่อจะได้ลุกง่าย ๆ แต่ก็โดนเมินโดนสิ้นเชิง แถมสาวเจจ้ายังมองตาขวางใส่อีก
“พึ่งจะตื่นรึไง หิวจะตายแล้ว’
เธอลุกขึ้นปัดฝุ่นตามกระโปรงและขาตัวเอง ในมืออีกข้างกำช้อนที่คิดว่าเจ้าตัวน่าจะทำตกจนต้องก้มเก็บพอจะเงยหน้าขึ้นหัวเลยชนโต๊ะล่ะมั้ง
“ในห้องผมไม่มีอะไรให้กินหรอก ไปข้างนอกกันมั้ย”
“หนาวจะตาย หิวมากด้วยไม่มีอะไรที่มันกินได้เลยรึไงพวกอาหารแช่แข็งที่เอามาอุ่นแล้วกินได้เลยงี้”
“ผมไม่ชอบอาหารแช่แข็ง”
“แล้วไอ้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่กองเป็นภูเขานี่มันต่างกันยังไง”
“อันนั้นผมชอบ”
อีกฝ่ายกรอกตาทำหน้าเอือมใส่เขาก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปแต่งตัว “ไปแต่งตัวได้แล้วไป เร็ว ๆ ด้วย หิว”
มาซาโตะเดินออกจากตัวครัวไปแต่ก็ยื่นหน้ากลับมาอีกครั้งถามสิ่งที่ข้องใจตั้งแต่เช้า
“คุณ จะใส่ชุดนั้นหรอ” เขาทำท่าชี้ ๆ ไปที่เสื้อผ้าอีกฝ่ายเธอก้มมองพิจารณาชุดที่ตัวเองสวมอยู่แล้วเงยหน้ามามองเขาอีกครั้ง
“ก็นายเป็นคนขอเองไม่ใช่รึไง”
“ขออะไรหรอครับ ว่าแต่ คุณเป็นใครอะ”
“ ‘ขอสาวสวยผมบลอนด์ใส่ชุดแซนตี้มาฉลองคริสต์มาสอีฟด้วยกัน และที่สำคัญ ขออกคัพ
มาซาโตะตกใจทำหน้าเหวอใส่อีกฝ่าย เธอรู้ได้ไงนั่นมันที่เขาเขียนใส่กระดาษเมื่อคืนนี่แล้วอีกอย่างเขาเผากระดาษแผ่นนั้นไปแล้วด้วย!!
“
“
“
เขาสะบัดหน้าไล่ความคิดอกุศลออกไปจากหัว ภาพแรงสั่นสะเทือนเมื่อกี้ยังติดตาอยู่เลย
แผ่นดินไหวแต่มาซาโตะไม่ไหว
“อย่าถามมากได้มั้ย ไม่ได้คิดคำตอบมา เอาเป็นว่าวันนี้มาเป็นคู่เดทรู้แค่นั้นพอ ไปแต่ตัวได้แล้วไป” เธอเดินมาดันไหล่เขาเดินกลับไปทางเดิม
“หรือจะให้ฉันเปลี่ยนให้” เสียงนุ่ม ๆยื้อมากระซิบที่ข้างหู สัมผัสอุ่น ๆ นุ่ม ๆ แนบไปตามหลังของเขา
“ก็ดีนะครับ”
“ฝันไปเถอะ” เธอผละออกแล้วตบไหล่เขาดังเพี๊ยะเล่นเอาตัวเซไปตั้งไกล ผู้หญิงอะไรแรงเยอะเป็นบ้า ตัวนิดเดียวเองแท้ ๆ
เขาเดินหายเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ถัดจากห้องนอนเพื่อจัดการตัวเองนิดหน่อยแล้วกลับออกมาเปลี่ยนชุดที่ห้องนอน ถอดทั้งเสื้อและกางเกงทิ้งลงตะกร้า หันกลับมายืนเลือกชุดอยู่นานสองนานก่อนจะตัดสินใจหยิบกางเกงขายาวสีดำเข้ารูปมาสวมและเสื้อยืดแขนยาวสีขาวตามด้วยฮู้ดสีครีมหนา ๆ อีกซักตัว ปิดท้ายด้วยโค้ทยาวสีดำ เดินไปเช็คความเรียบร้อยที่หน้ากระจกแต่ก็ต้องตกใจรอบที่สามของวัน เมื่อเห็นว่าเงาที่สะท้อนในกระจกมันไม่ได้มีเขาคนเดียว แต่ดันมีสาวน้อยชุดแดงนั่งจ้องเขาตาแป๋วอยู่บนเตียง
“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยยย”
“ฉันก็นั่งรอในนี้ตั้งแต่ที่นายไปล้างหน้าแล้วเดินเข้ามาไม่มองอะไรเลยรึไง”
“แล้วทำไมไม่พูดอะไรซักคำ ผมตกใจจนแทบช็อคเลยนะ”
“แล้วทำไมต้องพูด” โอ๊ยยยยย มาซาโตะลูบหน้าด้วยความเหนื่อยใจ เป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่เนี่ย
“หุ่นดีนี่นานายน่ะ”
อยู่แต่แรกจริง ๆ ด้วย...
“แล้วไปทำอิท่าไหนให้โดนสาวเท ลีลาไม่เด็ดรึไง”
อยากจะบอกว่าเขายังไม่ทันได้โชว์ลีลาด้วยซ้ำ ดันโดนชิ่งไปก่อน
แต่เดี๋ยว เธอคนนี้รู้ได้ยังไงว่าเขาโดนทิ้ง
“คุณรู้ได้ไงว่าผมโดนสาวเท”
“เดามั่วไปเรื่อย แล้วก็ถูกจริง ๆ ซะด้วย” พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่ ถ้าไม่น่ารักนะพ่อจะด่าให้
“ไปเถอะ” เธอโดดดึ๋งลงมาจากเตียงเดินตรงมาเกาะแขนเขาลากออกจากห้อง
“เดี๋ยว ๆ”
“อะไร”
มาซาโตะขืนตัวรั้งเธอไว้ก่อนแล้วเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง ค้นหาเสื้อคลุมที่คิดว่าตัวเล็กที่สุดออกมาจากตู้ ก่อนจะตัดสินใจหยิบเอาฮู้ดสีดำแบบมีซิปออกมาหนึ่งตัวกับผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่แล้วยื่นให้เธอ
“อะไร”
“หนาวขนาดนี้คุณจะใส่แบบนี้ออกไปข้างนอกรึไง”
เธอก้มลงมองชุดกระโปรงสีแดงแบบเกาะอกแล้วมีแค่ผ้าคลุมไหล่สีแดงผืนเล็ก ๆ แค่นั้น ยืนนิ่งคิดแปปนึงก็ตัดสินใจรับเสื้อจากอีกฝ่ายมาสวม
“เสื้อตัวใหญ่ชะมัด ฉันกลายเป็นหมากระเป๋าไปเลยไม่ใช่รึไง
“น่ารักดีออก เหมือนใส่เสื้อแฟนเลย ไปเถอะ”
มาซาโตะโอบไหล่ของเธอเดินออกจากห้อง ทีแรกเธอทำท่าจะขืนตัวออกเขาเลยเพิ่มแรงกระชับมากกว่าเดิมจนได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ถ้าให้เดาคงกำลังกลอกตาใส่เขาอยู่แน่ ๆ
“ก็แค่คู่เดทน่า อย่ามาโมเม”
เสียงหวานบ่นอุบ ก่อนออกจากห้องก็จัดการปิดไฟปิดฮีทเตอร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน ข้างนอกหนาวมากจริง ๆ สังเกตจากคนข้าง ๆ ที่เริ่มสั่นเป็นเจ้าเข้า
“ไม่เปลี่ยนชุดจริงหรอ”
“ก็มีแค่ชุดที่ใส่มาจะเอาที่ไหนมาเปลี่ยน”
“งั้นก็ซื้อใหม่เลยก็ได้ หนาวไม่ใช่หรอ”
“พูดไรบ้า ๆ ฉันไม่มีเงินซักเยน ที่มานี่ก็กะให้นายเลี้ยงนะ
“ขำบ้าอะไร”
“เปล่าครับ ตัวแค่นี้ผมเลี้ยงได้สบาย ให้เลี้ยงตลอดเลยก็ได้”
แอบหยอดไปนิดหน่อยพร้อมกับยกยิ้มมุมปากให้เธอ แต่ก็ได้รับการเบ้ปากเป็นการตอบแทนเช่นเคย
“ไว้เห็นร่างจริงฉันแล้วจะพูดไม่ออก” เสียงบ่นงุ้งงิ้งคนเดียวเหมือนพูดกับตัวเองไม่อยากให้คนข้างๆ ได้ยิน
“ไปไหนก่อนดีครับคุณผู้หญิง ข้าวหรือเสื้อผ้า”
“ข้าว”
เธอตอบกลับมาทันทีโดนไม่เสียเวลาคิดซักนิด พวกเขาเดินไปเรื่อย ๆหาร้านเหมาะ ๆ ที่จะนั่งกินได้ ใช้เวลาเดินหาร้านไม่นานก่อนตัดสินใจแวะร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใกล้ที่สุดเพราะว่ากว่าพวกเขาจะออกจากห้องได้ก็บ่ายสองกว่าแล้ว คนในร้านไม่เยอะเลยไม่ต้องรอคิว คู่เดทของเขาไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าพอได้ที่นั่งปุ๊บเธอก็สั่งกิวด้งแบบพิเศษเพิ่มข้าวเพิ่มเนื้อมาเลยสงสัยหิวจัด เพราะขี้เกียจคิดมาซาโตะเลยเอาตามเธอทุกอย่าง
“ว่าแต่ คุณชื่ออะไรหรอ”
มาซาโตะเอ่ยถามคนตรงหน้าขณะนั่งรออาหาร ทำไมเขาถึงเพิ่งคิดขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อเธอเลยทั้ง ๆ ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งครึ่งวันแล้วแท้ ๆ อันที่จริงนอนด้วยกันมาแล้วด้วย เสียดายตอนนั้นไม่น่าเมาขี้ตาเลย โอกาสอยู่แค่เอื้อม... อีกฝ่ายยังนั่งเงียบไม่ตอบคำถาม ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“โทรุ” เสียงตอบกลับมาเบาหวิว
“ชื่อเหมือนผู้ชายจังนะครับ” พูดล้อไปนิดหน่อยเผื่อว่าจะโดนด่ากลับมา
“ก็เป็นผู้ชาย” แต่คำตอบของเธอเล่นเอามาซาโตะเอ๋อจนไปต่อไม่ถูกเธอเป็นสาวสองหรอ พอเห็นหน้าเหวอ ๆ ของเขาอีกฝ่ายก็หัวเราะร่วน
“ล้อเล่น” พูดจบก็หัวเราะต่อ ....ยัยบ้า
ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่ออาหารก็มาเสิร์ฟพอดี มาซาโตะนั่งมองผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าที่กำลังยัดของกินเข้าปากอย่างรีบร้อน ปากเล็ก ๆ แต่เวลากินนี่อ้าซะกว้างเชียว แก้มขาว ๆ พองออกเพราะยัดข้าวซะเต็มปาก ไม่นานเธอก็กินจนหมดในขณะที่เขายังกินไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
“อิ่มมั้ยครับ” เขาถามคนที่นั่งลูบท้องตัวเองป้อยๆ
“อีกชามได้มั้ยล่ะ”
“ได้นะถ้ากินไหว”
“ล่อเล่น ใครจะไปกินเยอะขนาดนั้น”
โทรุนั่งเอามือประสานไว้ใต้คางตัวเอง จ้องเขากินไปเรื่อย ๆมาซาโตะพึ่งสังเกตว่าระหว่างที่อยู่ด้วยกันโทรุไม่เคยหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเล่น
“ผมถามได้มั้ย”
“ว่า”
“ทำไมถึงรู้ว่าผมขอพรอะไรไป”
“ขี้เกียจตอบ” โทรุตอบกลับมาทันทีด้วยสีหน้าเบื่อ ๆทำอย่างกับว่าเขาเซ้าซี้หลายรอบงั้นแหละ
“แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่ใช่หรอ”
“ใครบอก ไม่มีซักนิด”
“ทำไมดื้อจัง” เธอตวัดตามามองเขาดุๆ แต่เขาฉีกยิ้มกว้าง ๆ ให้แทนแล้วถามต่อ
“โทรุจังทำงานที่ร้านนั้นหรอ เมื่อวานไม่เห็นเจอเลย”
“ไม่เชิงว่าทำงาน ร้านนั้นเปิดเพื่อฉันต่างหาก”
“เป็นเจ้าของร้านหรอ”
“เปล่า”
“อ้าว งั้นเป็นอะไร”
“ขี้เกียจตอบละ” เธอลดมือลงกอดอกแล้วทิ้งตัวลงกับพนักด้านหลังแทน
“เอาแต่ใจชะมัด”
“จะยกเลิกมั้ยล่ะ ฉันจะได้กลับ” พูดทั้งส่งยิ้มยียวนใส่อีก
“ไม่เอา”
“น่ารำคาญจริง”
“ผมเหงานี่นา นี่มันคริสต์มาสนะจะทิ้งผมอยู่คนเดียวรึไง” มาซาโตะทำท่าหางลู่หูตกแบบที่คิดว่าน่ารักที่สุดใส่โทรุ แต่ไม่ได้ผลซักนิด อีกฝ่ายไม่สนเขาเลย
“ทน ๆ เอาหน่อยไม่ได้รึไง”
“ไม่ได้” เขาจ้องหน้าโทรุก่อนจะพูดต่อ
“พอเจอโทรุจังก็รู้สึกว่าวันนี้คงทนอยู่คนเดียวไม่ได้แล้วล่ะ คงเหงากว่าเดิมแหงๆ”
“หยอดเก่งนี่”
“หลงมั้ย” เขาถามยิ้ม ๆ
“ไม่” ฟ้าถล่มรอบที่ร้อยของวัน
“ใจร้ายจัง”
บทสนทนากึ่ง ๆ ต่อล้อต่อเถียงยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆจนมาซาโตะกินข้าวจนหมด บางครั้งก็โดนบ่นว่าตอนกินข้าวชอบพูดมากแต่เจ้าตัวก็ตอบกลับมาตลอดเลยนี่น่าน่ารักจัง
.
.
“ฮ้า อิ่มจัง”
พวกเขาเดินออกจากร้านโดยที่มาซาโตะเดินลูกท้องป่อง ๆ ตามโทรุออกมาเขาเดินมาโอบไหล่เล็ก ๆ ไว้ ที่จริงก็แค่ตั้งใจก็ยืนกันลมให้เฉย ๆ อย่างอื่นเรียกว่าผลพลอยได้ โทรุจังก็ไม่ว่าอะไรนี่นาแค่ทำท่าเหมือนรังเกียจนิดหน่อย... เรื่องนั้นช่างมัน อีกอย่างชุดเธอก็ล่อสายตาดีจริง ๆ เดินไปไหนมีแต่คนจ้อง ถามว่าจ้องตรงไหน ก็น่าจะจุดเดียวกันกับที่เขาชอบจ้องนั่นแหละ ก็เลยดึงเสื้อคลุมมาปิดไว้หน่อยแต่กลับโดนฟาดหลังมือเต็มแรง
เค้าแค่จะดึงเสื้อปิดเฉย ๆ เองนะะะะ
บางครั้งมาซาโตะก็แอบเห็นว่าโทรุชอบเผลอก้มมองลูบ ๆ คลำ ๆหน้าอกตัวเอง ทำอย่างกับว่าไม่เคยมีงั้นแหละ แถมยังทำท่าทำทางเหมือนมันเกะกะนักแหละ
เดินกันไปเรื่อยจนเจอร้านเสื้อผ้าผู้หญิงเหมาะ ๆ ร้านนึงถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตกลงกันไว้ว่าจะหาชุดให้โทรุเปลี่ยน ถึงจะบอกว่าเขาจะซื้อให้แต่อีกฝ่ายก็ยังอิดออด จะว่าเกรงใจเขาก็คงไม่น่าใช่ ออกไปทางขี้เกียจมากกว่า แต่ในที่สุดมาซาโตะก็สามารถฉุดกระชากลากถูโทรุเข้ามาในร้านจนได้
“เลือกสิครับ”
“ก็บอกว่าไม่เอาไง” โทรุยังยืนนิ่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่หน้าร้านไม่ยอมขยับ
“ไม่ได้ ต้องเอา ชอบนักรึไงให้คนมองเยอะ ๆ น่ะ”
“มอง ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่มีให้มองแล้ว”
“งั้นกลับไปมองด้วยกันสองคนกับผมที่ห้องปะ” เขาทำท่าจะลากเธอออกจากร้านแต่ก็โดนสะบัดมือออก
“ไม่เอา! เออๆๆๆ เลือกก็เลือก” มาซาโตะยิ้มอย่างพอใจในขณะที่โทรุหน้าบูดเป็นตูด
“ผมนั่งรอตรงนั้นนะ”
“เชิญ”
เขามองตามโทรุที่เดินไปด้อม ๆ มอง ๆ แถวราวเสื้อก่อนจะปลีกตัวไปนั่งที่เก้าอี้เตี้ย ๆ ที่ถูกจัดไว้ที่มุมหนึ่งของร้านปล่อยให้สาวสวยของเขาได้มีเวลาส่วนตัว ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาปลดล็อคเข้าเช็คทวิต ไอจี ไปเรื่อย ๆ รออีกคน
“เสร็จแล้ว”
โทรุใช้เวลาน้อยกว่าที่เขาคาดไว้ นึกว่าสาว ๆ จะเลือกเสื้อผ้ากันนานกว่านี้ซะอีกแต่พอเงยหน้าขึ้นมองก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใช้เวลาแค่สิบนาที
สเวตเตอร์สีขาวตัวใหญ่ทับด้วยเสื้อคลุมและผ้าพันคอของเขาตัวเดิมกับกางเกงวอร์มสีดำแถบขาว... ก็นับว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรซ์อีกอย่างของเธอที่ได้รู้
“มองอะไร ไปจ่ายตังค์สิ” ดุอีกละ
“ชุดนี้หรอครับ”
“เออ ทำไม”
“เปล่า น่ารักดี”
“ถามจริง” โทรุมองเขาแบบไม่เชื่อหน่อยๆ
“ก็โทรุชอบแบบนี้ไม่ใช่หรอ ดีกว่าชุดเดิมมั้ย”
“อือ” เธออ้อมแอ้มตอบกลับมาคืออะไร เขินหรอ หรือแค่ขี้เกียจพูด
มาซาโตะพาโทรุไปจ่ายเงินกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แล้วกลับออกมาข้างนอกอีกครั้ง เพราะไม่มีอะไรที่อยากทำหรือที่ ๆ อยากไปเป็นพิเศษเลยแค่เดินชมเมืองไปเรื่อย ๆ แวะกินนั่นกินนี่บ้างบางครั้ง เขาค่อนข้างแปลกใจที่โทรุไม่ค่อยอิดออดหรือบ่นมากเท่าไหร่ตอนที่เขาชอบแวะที่ไหนแบบตามใจตัวเอง ผิดกับสาว ๆ ที่ผ่านมา พวกเธอไม่ค่อยฟังเขาหรอก โดยปกติจะเป็นเขาที่ต้องเดินตามเวลาเธอช็อปปิ้งมากกว่า และบางครั้งโทรุก็ดูเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดอะไรแต่เวลาเถียงเขาทีคือเถียงน้ำไหลไฟดับ ไม่มียอมเลยจริง ๆ
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทันตั้งตัวท้องฟ้าสีฟ้าก็กลายเป็นสีส้มแทน มีริ้วสีม่วง ดำแทรกอยู่ประปราย พระอาทิตย์ ใกล้ตกแล้ว แน่นอนว่าบรรยากาศรอบข้างก็เริ่มจะเปลี่ยนไป บรรดาร้านรวงต่างก็พากันเปิดไปประดับที่ตกแต่งไว้เพื่อเทศกาลโดยเฉพาะ บรรยากาศเหมือนเมื่อวานต่างกันแค่วันนี้ข้าง ๆ ตัวมาซาโตะไม่หนาวแล้ว เพราะมีสาวสวยที่ทำหน้าเบื่อโลกเดินอยู่ข้างๆ
“ไม่ชอบหรอ”
“อะไร”
“คริสต์มาส”
“ไม่ชอบ”
“ทำไมล่ะ ดีออก มีอะไรให้ดูเยอะเลย”
“...วันต้องสาป” โทรุบ่นกับตัวเองเบา ๆ
“ทำไมถึงเป็นวันต้องสาป” เขาก้มมองหน้าอีกฝ่ายขณะถาม ถึงได้สังเกตเห็นว่าโทรุแอบถอนหายใจหลายที
“…เปล่า หิวแล้ว”
วันนี้ทั้งวันโทรุแทบไม่พูดถึงเรื่องของตัวเองเลย ถึงเขาจะถามแต่ก็โดยบ่ายเบี่ยงตลอด เขาไม่รู้เรื่องอะไรของเธอเลยนอกจากชื่อที่ไม่รู้ว่าจะใช่ชื่อจริงรึเปล่า เธอดูเป็นคนเข้าถึงง่ายแต่กลับเหมือนมีกำแพงหนากั้นเขาเอาไว้ให้อยู่แค่ตรงนี้ คงเป็นการป้องกันตัวเองหรือไม่ก็เพื่อป้องกันเขา ไม่ให้ถลำลึกเกินไป เพราะอีกเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว... เวลาอะไรล่ะ ถ้าโทรุยังอยู่ร้านนั้นเขาก็ยังไปหาเธอได้อีกนี่นา
ใช่ ต้องอยู่ที่นั่นแน่อยู่แล้ว
“กลับไปต้มบะหมี่กินที่ห้องกันดีมั้ย”
“ทำไมต้องบะหมี่”
“ก็ปกติเดตกันเราก็ต้องไปกินร้านหรู ๆ ใช่มั้ยล่ะเวลาโทรุไปกับคนอื่นก็คงจะเหมือนกัน แต่ผมอยากให้โทรุจำผมได้ในแบบที่เป็นผมไง” เขาอธิบายพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วมองหน้าเขา
“จะให้ฉันจำต้มบะหมี่เนี่ยนะ”
“ใช่ เพราะผมชอบไง”
“เหอะ เจ้าบ้า” ถึงปากจะด่าเขาก็เถอะ แต่เห็นนะว่าหุบยิ้มไว้ไม่อยู่แล้วน่ะน่ารักจนอดยื่นมือไปเขี่ยแก้มเย็น ๆ ที่โผล่พ้นผ้าพันคอขึ้นมาไม่ได้ ตรงแก้มด้านขวามีไฝเล็ก ๆ อยู่หลายจุด แต่ที่เด่นหน่อยคงเป็นจุดที่อยู่ข้างริมฝีปากนี่
สงสัยจ้องนานไปหน่อยเลยเผลอเข้าไปไกล้จนริมฝีปากแตะลงที่จุดข้างแก้มอีกฝ่าย โทรุนิ่งตัวแข็งไปเลย ริ้วสีแดงไต่ขึ้นไปเกาะบนพวงแก้มใส ๆ
คราวนี้แหละเขินจริงแน่
ได้คืบแล้วกะจะเอาศอกซะหน่อย อีกนิดเดียวก็จะได้ชิมปากแดง ๆ ที่เม้มติดกันแน่นแล้วแท้ ๆ แต่โดนฝ่ามือพิฆาตฟาดเข้ากลางหน้าผากเต็ม ๆ สะเทือนไปถึงกระดูกสันหลังข้อที่สิบเอ็ด
“พอมั้ย ไอ้เหม่งนี่”
“หอมจัง” ยิ้มร่าตอบกลับด้วยสีหน้าไม่รู้สึกผิดใดๆ ทั้งสิ้น
“จะกินอะไรก็กิน หิว!”
พูดจบก็เดินนำลิ่วไปทันที ปล่อยอีกคนยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น มาซาโตะรีบวิ่งตามโทรุไปโอบไหล่บางไว้ โดนขัดขืนนิดหน่อยแต่รอบนี้รุนแรงขึ้น โดนศอกเข้าเต็ม ๆ ใส่มาเต็มแรงจนเกือบอ้วกเอาของเก่าออกมาแหนะ
ระหว่างทางเดินกลับโทรุบอกว่าขอแวะที่ร้านแปปนึง ปล่อยมาซาโตะยืนรออยู่นอกร้านสงสัยว่าวันนี้ไม่เปิดร้านเพราะภายในร้านมืดเชียว ไม่มีใครซักคน แบบนี้จะรอดหรอ เปิดร้านวันที่สองก็หยุดเลยแบบนี้
รอไม่นานโทรุก็เดินออกมาจากทางหลังร้านพร้อมกับแบกเคสกีตาร์อันใหญ่ไว้บนหลัง มาซาโตะเสนอตัวจะถือให้แต่เจ้าตัวก็ยืนยันจะถือเอง ก็เลยต้องตามใจ ดึงดันไปโทรุก็ไม่ยอมหรอก ถ้าได้บอกว่าไม่ก็คือไม่นั่นแหละ เขาเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อให้ถึงห้องเร็ว ๆ อากาศข้างนอกยิ่งดึกยิ่งหนาว พอเข้ามาในตัวตึกแล้วก็อุ่นขึ้นมาหน่อย
“เอากีตาร์มาทำไมหรอ” มาซาโตะเอ่ยถามขณะอยู่ในลิฟต์
“เอามารองต้มบะหมี่ของนายมั้ง เจ้าบ้า ก็ต้องเอามาเล่นสิ” นั่นไงล่ะ บอกแล้วว่าเรื่องเถียงนี่ไม่เคยจะยอม
“อยากฟังเร็ว ๆ จัง”
และเมื่อถึงชั้นที่ต้องการประตูลิฟต์ก็เปิดออกพวกเขาเดินตามทางเพื่อไปห้องของมาซาโตะ ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าโทรุมาหาเขาได้ยังไงแต่ถึงจะถามไปเจ้าตัวก็คงไม่ตอบอยู่ดี เขาเปิดประตูเพื่อให้โทรุเข้าไปก่อนคราวนี้ไม่ลำบากกับการถอดรองเท้าแล้วก็เลยวิ่งฉิวหายเข้าไปในห้องนั่นเล่นทันทีเดินตามเข้าไปก็เจอเจ้าตัวกำลังแกะกีตาร์โปร่งออกจากเคสอย่างทะนุถนอมก็หวงถึงขนาดไม่ถอมให้เขาถือให้เลยนี่นา
“มองอะไร ไปต้มบะหมี่ดิ”
“ไม่คิดจะช่วยหน่อยรึไง”
“ทำไม่เป็น” ข้ออ้างคนขี้เกียจชัด ๆ แต่มาซาโตะก็ยอมไปต้มให้อยู่ดี
เขายืนแกะกล่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฉีกซองเครื่องปรุงทุกอย่างเทลงในถ้วยกระดาษ ขณะรอน้ำเดือดเสียงกีตาร์จากคนที่อยู่อีกห้องดังแว่วเข้ามา สงสัยกำลังปรับสายอยู่ รอจนน้ำเดือดค่อยเทลงใส่ถ้วยจนท่วมเส้นทั้งสองถ้วย ยกกลับมาหาอีกคนที่นั่งเกากีตาร์อยู่บนโซฟา
ในห้องนั่งเล่นมีโต๊ะอุ่นขากับโซฟายาว ๆ สองตัววางอยู่หน้าทีวี แต่วันนี้ทีวีคงไม่จำเป็นเพราะมีนักดนตรีกิตติมศักดิ์มาเล่นให้ฟังถึงที่ แต่นักดนตรีก็หิวเป็นตอนนี้เลยทิ้งคู่หูให้นอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟาแล้วตัวเองก็ไหลลงมานั่งอยู่หน้าถ้วยบะหมี่แทน
สมแล้วที่บ่นว่าหิว ผ่านไปไม่ถึงสามนาทีบะหมี่ในถ้วยนั้นก็อันตรธานหายไปไม่เหลือหลอ ทิ้งไว้แค่ซากให้เขาเก็บ มาซาโตะเอาถ้วยบะหมี่ไปเก็บแปปเดียวกลับมาก็เจอโทรุเอนหลังพิงโซฟาเป็นที่เรียบร้อย มีกีตาร์ซบอยู่ที่อก นิ้วเรียวสวยไต่ไปตามสายกีตาร์สร้างเสียงใส ๆ ไม่เป็นจังหวะ
“อยากฟังเพลงไรขอได้เลยนะครับคุณลูกค้าตอบแทบค่าบะหมี่ไปเลยหนึ่งเพลงเต็ม ๆ”
“ขี้งกจัง นึกว่าจะได้ฟังทั้งคืนซะอีก”
“โลภมากก็ไม่ต้องเอามันซักเพลง”
“ล้อเล่น เพลงอะไรก็ได้ ที่โทรุชอบ” เขาเดินอ้อมโต๊ะไปนั่งโซฟาอีกตัว
“เกลียดคำว่า เพลงไรก็ได้”
โทรุเริ่มเกากีตาร์เล่นไปเรื่อย บางทีก็มีฮัมเพลงบ้าง มีมาซาโตะช่วยร้องบ้าง บรรยากาศเรียบง่ายที่มีกลิ่นอายอุ่น ๆ ฟุ้งออกมารอบตัว คนตรงหน้าเขาดูสวยขึ้นมากในยามที่เธอตั้งอกตั้งใจเล่นกีตาร์ สายตาไล่ไปตามปลายนิ้วของตน
เวลาที่เขาค่อย ๆ ใช้เก็บภาพอีกฝ่ายฝังไว้ในความทรงจำผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ไม่นานนาฬิกาก็บอกเวลาห้าทุ่มกว่า
“ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ฉันต้องกลับแล้ว”
“ยัง ยังไม่หมดวันซักหน่อย” มาซาโตะยังตัวขึ้นมาส่งสายห้ามโทรุที่เริ่มเก็บกีตาร์ใส่เคส
“นายนี่น่ารำคาญจริง”
“อยู่จนกว่าจะเที่ยงคืนได้มั้ย” โทรุมองหน้าคนงอแงแล้วถอนหายใจยาวเหยียดยกกีตาร์ออกมาอีกครั้งพร้อมกับตับที่นั่งข้างตัวเองปุๆ
“มานั่งนี่สิ” มาซาโตะลุกไปนั่งข้าง ๆ โทรุอย่างว่าง่าย
โทรุเริ่มดีดกีตาร์อีกครั้งด้วยเมโลดี้ที่เขาคุ้นเคย
“ร้องสิ ร้องได้ไม่ใช่หรอ เห็นชอบฮัมบ่อย ๆ“ ผิดคาด เขาไม่คิดว่าโทรุจะสังเกตเขาด้วย เริ่มจะชอบมากขึ้นทุกที
.
.
ดวงตาที่มักจะเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย
ไกลจนผมไม่สามารถตามไปได้
แต่ในตอนนี้ตอนที่กำลังอยู่ด้วยกัน
สายตาคู่นั้นจับจ้องเพียงแค่ผมเท่านั้น
ความรู้สึกมากมายถูกส่งผ่านดวงตาคู่สวย
จะไม่ยอมให้ใครมาพรากเอาแววตานี้ไปหรอกนะ
ตัดสินใจแล้วไม่ว่ายังไง
เธอก็ต้องเป็นของผม
(
.
.
.
เพลงจบไปแล้ว โทรุเตรียมตัวจะกลับแล้ว เคสกีตาร์อันใหญ่กว่าเจ้าตัวถูกสะพายขึ้นบนหลัง เธอยิ้มให้เขาที่นั่งหงอยหน้างอคอหักเป็นปลาทู
“กลับแล้วนะ ไปส่งหน่อยสิ”
“ถ้าไม่ไปส่งก็จะไม่กลับใช่มะ”
“อย่ามามโนไอ้เหม่ง ส่งแค่หน้าประตูเนี่ย มาล็อคประตูด้วย”
มาซาโตะยอมลุกขึ้นเดินตามโทรุต้อย ๆ ไปส่งที่หน้าประตู
“เร็ว ๆ สิเดี๋ยวไม่ทัน”
“ไม่ให้ไปส่งจริงหรอ ดึกแล้วนะ”
“ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร” มาซาโตะยังคงยืนจ้องหน้าโทรุไม่หยุดเธอยิ้มให้แล้วหันหลังเตรียมออกจากห้องแต่โดนคว้าข้อมือไว้ก่อน
“กอดได้มั้ย” ถึงจะอยากปฏิเสธเพราะแทบไม่มีเวลาแล้วแต่ใครจะไปปฏิเสธเสียงเศร้าแบบนั้นได้ลงคอ
“จะไม่มีเวลาแล้ว หลับตาสิเร็วเข้า” เขายอมหลับตาตามที่เธอบอกอย่างว่าง่ายแม้จะอยากมองหน้าไปนานๆ
สัมผัสอุ่นจากอ้อมแขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างสอดเข้าที่ข้างเอวกระชับกายเข้าจนชิด แนบแก้มไปที่อกกว้างมาซาโตะยกแขนขึ้นกอดตอบอีกฝ่าย โทรุจับตัวเขาโยกไปมาเล็กน้อยก่อนจะผละออก สัมผัสนิ่ม ๆ ชื้น ๆ แตะลงที่ปลายคางเขาพร้อมกับคำเอ่ยลาเบา ๆ
“ลาก่อนนะ”
.
.
...เหมือนว่าปลายเสียงโทรุมันจะทุ้ม ๆ ไปรึเปล่านะ หรือเขาหูฝาด...
.
.
.
มาซาโตะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ รู้สึกเหมือนอนไปนานเลย สมองยังเบลอ ๆ อยู่ คิดไม่ออกว่ากลับมานอนตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากลับมาจากคาเฟ่แปลกๆ นั่นแล้วก็อะไรอีกน้า ลืมไปแล้วแฮะ เหมือนว่าจะฝันดีด้วย ฝันว่าคริสต์มาสอีฟได้เดทกับสาวสวย ชื่อ... ลืมไปแล้วเหมือนกัน
เพราะว่าตื่นสายก็เลยได้ยินเสียงร้องจ๊อก ๆ จนต้องตัดใจลุกจากที่นอนเพื่อไปหาอะไรกิน พอจะเดินเข้าไปในครัวก็เหมือนเดจาวูไงไม่รู้ มีภาพใครบางคนซ้อนเข้ามา ภาพในฝันหรอ? พอเดินเข้ามาในครัวก็เจอถ้วยบะหมี่ที่กินหมดแล้วทิ้งไว้สองถ้วย จำไม่เห็นได้เลยว่ากินตั้งแต่เมื่อไหร่? เอื้อมไปเปิดตู้เย็นหยิบซองขนมออกมา ถือเดินไปทางห้องนั่งเล่นกะจะเปิดทีวีดูก็ดันมาเจอโทรศัพท์ถูกวางที่ไว้ที่โซฟาพอดี เลยหยิบขึ้นมากะจะดูเวลาแต่สายตาดันเหลือบไปเห็นวันที่ที่มันควรจะเป็น 24 ธันวาคมแต่บนหน้าจอกลับขึ้นว่า 25 ธันวาคม
...นี่เขาหลับข้ามวันหรอ จะเป็นไปได้ยังไง พอเดินไปอีกหน่อยกะจะนั่งลงโซฟาก็รู้สึกเหมือนใต้ฝ่าเท้าเหยียบอะไรเย็น ๆ พอก้มมองก็เจอปิ๊กกีตาร์สีดำตกอยู่และเหมือนว่าสมองจะประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดได้ว่า ไอ้เรื่องที่คิดว่าฝันนั่นน่ะไม่ใช่ฝัน แต่เป็นความจริง
มาซาโตะรีบรุดขึ้นจากโซฟาตรงดิ่งไปห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที
เขาวิ่งออกมาเรื่อย ๆ ตามทางเดินที่เขาใช้ไปมหาลัยทุกวัน วิ่งวนไปมาแต่ก็ไม่เจอคาเฟ่ที่เขาแวะขากลับจากมหาลัยเมื่อวันที่ 23 ต่อให้เดินนับก้าวกลับไปกลับมาแต่จุดที่เขาแน่ใจว่ามันเคยเป็นที่ตั้งของคาเฟ่กลับไม่มี เป็นแค่ตรอกเล็ก ๆที่มีตึกใหญ่ขนาบทั้งสองข้าง ไม่มีทางที่จะร้านอะไรมาตั้งตรงนี้ได้เลย
อะไรกัน
ทำไมกัน
หมายความว่าไง
ฝันหรอ
แล้วปิ๊กนี่หมายความว่าไง
เขาเดินกลับไปกลับมาคิดไม่ตก คนรอบข้างก็เริ่มมองแปลก ๆ ชั่วพริบตาที่มีลมเย็นๆ พัดผ่านร่างเขาไปก็เหมือนได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ เสียงของพนักงานผู้หญิงในร้านวันนั้น
‘เวทมนต์คงอยู่ได้แค่วันเดียวเท่านั้นหลังเที่ยงคืนไปทุกอย่างจะกลายเป็นแค่ความฝัน’
ฝันหรอ จะบ้ารึไงอย่ามาล้อเล่นนะ จะเป็นฝันได้ยังไงละไอ้ความรู้สึกชอบนี้จะเกิดกับคนในฝันได้ยังไงล่ะยัยพนักงานบ้า!!
คิดอะไรไม่ออกได้แต่นั่งหมดแรงอยู่ที่เดิมนั่งอยู่นั่นหลายชั่วโมงแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีอะไรผุดออกมาจากตรอกนั่นชักหิวแล้วสิ กลับบ้านก่อนละกัน หนาวเป็นบ้าเลยด้วยทำไมต้องมาทนหิวทนหนาวรอยัยบ้าที่รู้ว่าจะโผล่มารึเปล่า
ต้องตัดใจมั้ยนะ ยัยนั่นเป็นผีหรอ...
ผีตัวอุ่นจัง
.
.
.
หลายเดือนผ่านไป ถึงจะบอกว่าไม่รอก็เถอะแต่ก็มองตรอกนี้ทุกวัน เวลาผ่านไปผ่านมา วันหยุดก็ยังอุตส่าแวบออกมาด้อม ๆ มอง ๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะไปจีบสาวที่ไหนเลย เอาแต่มาลุ้นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้แต่พอนานไปความรู้สึกก็เริ่มเบาบางลง แต่ก็ยังส่องอยู่ กลายเป็นนิสัยไปซะแล้ว
.
จะคริสต์มาสอีกแล้ว อดคิดถึงเรื่องเมื่อปีก่อนไปได้เลย อยู่ดี ๆ ก็คิดถึงคนที่เกือบจะลืมไปแล้วขึ้นมา วันนี้วันที่ 23 นี่นา จะมีเปล่าหว่า ตอนเย็นแอบไปดูหน่อยละกัน ไม่อยากตั้งความหวังเลยแต่ก็แอบหวังนิด ๆ เหมือนกันนะ
พอเลิกคลาสเขาก็รีบออกจากห้องไปทันทีไม่สนเสียงเพื่อนที่ร้องทัก แต่คิดดูอีกทีค่อย ๆ เดินดีกว่า ถ้าเผื่อมันจะมีหรือไม่มีจะได้ไม่เสียฟอร์มทั้งคู่
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ใจก็ยิ่งเต้นระทึก ลุ้นยิ่งกว่าผลสอบ แต่พอไปถึงที่หมายใจดวงน้อย ๆ ที่ลิงโลดอยู่เมื่อครู่ก็เหี่ยวลงทันที
ไม่มี...
ไม่น่าคาดหวังเลย...
เดินคอตกจากไปเหมือนเดิม แวะกินราเม็งข้างทางดีมั้ยนะ หิวแล้วด้วย จะได้ไม่ต้องออกมาหาอะไรกินอีกรอบด้วย มาซาโตะแวะร้านราเม็งที่พึ่งมาเปิดเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพราะมาบ่อยเลยสนิทกับลุงไปด้วย มองจากหน้าร้านลุงก็เจอตรอกนั่นพอดี ถือว่าพึ่งพาอาศัยกัน เขาสั่งเมนูประจำไป ลุงก็ตอบรับอย่างแข็งขัน รอไม่นานราเม็งร้อน ๆ มีควันลอยฉุย ๆ ก็มาเสิร์ฟตรงหน้า
ถึงจะเศร้าแต่ท้องก็หิวล่ะนะ คงต้องกินก่อนค่อยเศร้าต่อก็ได้ ราเม็งลุงน่ะอร่อยที่หนึ่ง! ดึก ๆ ลูกค้าเยอะมากเลยต้องรีบมากินตั้งแต่หัววัน พูดไม่ทันขาดคำก็มีคนมานั่งข้าง ๆ เสียงทุ้ม ๆ เอ่ยบอกเมนูกับลุง
ถึงจะมีแต่กลิ่นซุปอยู่เต็มจมูกก็เถอะ แต่กลิ่นน้ำหอมคนข้าง ๆนี่คุ้นมาก ก็เลยแอบมองนิดหน่อย ผู้ชายผมสีบลอนด์สว่างจนเกือบซีดใส่ฮู้ดแขนยาวสีดำกับผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่ พอเหลือบลงไปมองข้างล่างก็ดันใส่กางเกงวอร์มสีดำแถบขาวไปอีก คุ้น ๆ เนอะ
เหมือนว่าคนข้าง ๆ จะรู้ตัวว่าโดนแอบมองเลยหันมามองตอบ ตาโต ๆ แต่หนังตาตกลงมาเกือบครึ่ง ท่าทางง่วง ๆ บวกกับใต้ตาแล้วได้แต่นึกในใจว่าหมอนี่มันไม่ได้นอนมากี่วันแล้วเนี่ย จมูกก็โด่งจนน่าอิจฉา แถมปากยังแดงได้รูปสวยอีก หล่อเกินไปรึเปล่าครับคุณ
แต่หน้าคุ้น ๆ เนอะ มั่นใจว่าไม่เคยเห็นแต่คุ้น ๆ ยิ่งไฝที่แก้มขวานั่นยิ่งคุ้นไปใหญ่
เหมือนว่าจะเผลอจ้องนานเกินไปอีกฝ่ายถึงได้จ้องกลับไม่วางตา
ไม่ได้หาเรื่องนะครับ หันกลับมากินราเม็งตัวเองต่อ
“มารอร้านเปิดเกือบทุกวันเลยนะครับฮายาคาวะซัง”
ลุง ลุงชื่อฮายาคาวะรึเปล่า แต่มองแล้วลุงก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับชื่อนี้ ยังคงยืนลวกเส้นต่อไม่รอแล้วนะ แล้วมันจะมีใครอีกนอกจากเขา
มาซาโตะหันไปมองคนข้าง ๆ ช้า ๆ
“ผมหรอครับ?” มาซาโตะชี้ที่ตัวเอง
“ไม่ได้เจอกันปีเดียว หัวเหม่งขึ้นเยอะเลย” อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามแถมยังมาล้อหน้าผากเขาอีก ไอ้ท่าทางแบบนี้มันคุ้น ๆ แต่คน ๆ นั้นตัวเล็กนิดเดียว ไม่ใช่ตัวใหญ่เป็นหมีป่าแบบนี้ แต่เพื่อความแน่ใจ
“โทรุ…หรอ...?”
ไม่มีคำตอบ มีแต่รอยยิ้มกลับมา
ใช่หรอ?
บอกแล้วอย่ากินเยอะ ตัวบวมเชียว
TBC.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in