เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกการเดินทางasparagus.
Voss เมือง Voss ที่ไม่มีน้ำแร่ Voss ขาย

  • จะมีใครรู้จักเมืองเมืองนี้มั้ย เมืองที่มีชื่อว่า Voss 

    หากมีใครเคยได้ยินชื่อน้ำแร่สุดแพง นั่นแหละ มันคือที่เดียวกันเลย ถึงแม้ว่าในเวลากว่าสามวันที่เราอยู่ที่นี่จะไม่เจอร้านค้าร้านไหนขายน้ำแร่ Voss เลยก็ตามที (อุตส่าห์ว่าจะซื้อน้ำแร่ Voss จากเมือง Voss ไปเป็นของฝากซักหน่อย ฮ่า ๆ)

    เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศเล็ก ๆ ทางผ่านสู่เมืองอย่าง Gudvangen และ Flam ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ซึ่งเราก็ได้มาพักที่เมืองแห่งนี้เพราะว่ากำลังจะเดินทางไปสองเมืองที่ว่าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเมืองที่โด่งดังหรือเปล่าแต่ก็หารีวิวไม่ค่อยจะเจอ ที่เลือกพักที่นี่เพราะมีที่พักราคาดี 

    เราเริ่มต้นการเดินทางด้วยการนั่งรถไฟ Bergensbanen มาจาก Bergen และลงที่ Voss station หลังจากออกมาจากสถานีรถไฟ ข้ามถนนไปก็พบกับทะเลสาบที่มีพื้นหลังเป็นภูเขาน้ำแข็ง โอ้โห วิวหลักพันล้าน เราเดินเล่นรอบ ๆ ทะเลสาบแห่งนี้ แต่ก็ไม่สามารถเดินรอบได้หมดเพราะว่าทะเลสาบมันกว้างใหญ่มาก หลังจากเดินเล่นสักพักก็เริ่มหิว เลยไปช็อปของกินที่ร้านขายของข้าง ๆ และเอามานั่งกินปิกนิกริมทะเลสาบ โชคดีที่ทะเลสาบแห่งนี้มีม้านั่งให้นั่งชมวิวอยู่เต็มไปหมด ขนมปังกลิ่นชินนามอนถุงละไม่ถึงร้อย เมื่อนั่งกินอยู่หน้าทะเลสาบ วิวนี้ก็ทำให้มันมีค่าประเมินไม่ได้เลย หลังจากกินเสร็จ เราเดินเล่นต่อไปอีกหน่อยที่รอบทะเลสาบอีกฝั่งหนึ่ง ผ่านป่าสน และเมื่อไปริมทะเลก็พบหาดหิน ดื่มด่ำกับภาพที่สวยงามของธรรมชาติ

    ตอนเที่ยงเราเดินจากรอบทะเลสาบไปที่คาเฟ่ร้านเดียวของเมือง เมืองนี้เป็นเมืองเล็กขนาดที่ City Center มีร้านขายของอยู่รวมแค่สองสามร้าน ขายเสื้อกันหนาวลดราคา และร้าน Spar ห้างขายของทั่วไป เสียดายที่สาขานี้ไม่มีไก่อบ เลยได้ฝากท้องที่ร้านคาเฟ่แบบเป็นชิ้นเป็นอัน เมื่อเข้าไปในคาเฟ่ก็พบกับคนที่นั่งอยู่เต็มร้าน นอกจากจะเป็นร้านคาเฟ่ร้านเดียวแล้วคงจะเป็นร้านยอดนิยมด้วย ผู้คนนั่งกินข้าว จิบกาแฟ และพูดคุยกันเต็มไปหมด เราไม่ค่อยรู้วิธีการสั่งอาหารของที่นี่เท่าไหร่ เลยเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ ข้างหน้าเคาน์เตอร์มีเค้กวางอยู่หลากหลายชนิด ก้อนใหญ่ ๆ น่ากินทั้งนั้น เราถามคุณพนักงานว่ามีเมนูภาษาอังกฤษบ้างไหม แต่คุณพนักงานบอกว่าไม่มีเลย เลยแปลเมนูที่เขียนอยู่ด้านบนให้เราฟังทีละอัน สุดท้ายเราก็ตัดสินใจสั่งอาหารมื้อเที่ยงเป็นซุปปลาประจำวัน ซึ่งหมายถึงจะใช้วัตถุดิบพิเศษที่หาได้ในวันนี้ และหยิบเค้กเลมอนเมอแรงที่วางอยู่ในถาดด้านหน้ามาหนึ่งชิ้น ในเซ็ตของอาหารมีกาแฟแถมฟรีหนึ่งแก้ว บริการตัวเองได้เลย แล้วพวกเราก็ไปนั่งรอที่โต๊ะ เค้กเลมอนทาร์ตชิ้นใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยกินมา โปะด้วยเมอแรงหนา ๆ ประมาณ 2 นิ้วได้ ถ้าเทียบกับเค้กของไทยที่เคยกินมาก็ใหญ่กว่าสักสองสามเท่าเลย ส่วนรสชาตินั้นอร่อยมาก เลมอนเคิร์ดเปรี้ยว ๆ ตัดกับรสหวานของเมอแรงนุ่มฟู เมื่อนั่งกินเค้กไปสักพัก อาหารที่เราสั่งก็มาเสิร์ฟ ซุปปลาแซลมอนกับแครอท หัวหอม และมันฝรั่ง มาพร้อมกับขนมปัง ซุปถ้วยใหญ่มาก ใหญ่มากจริง ๆ เหมือนมาให้กินสักสี่คน คนที่นี่กินอะไรจานใหญ่ขนาดนี้กันหมดเลยหรือยังไงกันนะ รสชาติอร่อยดีเช่นกัน กว่าจะกินกันหมด อิ่มจนแทบเดินไม่ไหว เมื่อนั่งย่อยสักพัก พวกเราก็เลือกสถานที่ที่จะไปที่ต่อไป เป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยู่บนภูเขา ต้องเดินขึ้นไปประมาณ 20 นาที ถือว่าได้เดินย่อยอาหารต่อ

    มองเห็นทะเลสาบจากทางเดินขึ้นบนภูเขา

    ทางเดินขึ้นไปบน Folk museum ผ่านหมู่บ้านบนภูเขา เดินขึ้นเขาบนทางชัน ขณะที่เดินขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อย ๆ เราก็มองเห็นทะเลสาบด้านล่างและภูเขาน้ำแข็งที่ด้านหลัง เป็นวิวเดียวกันกับข้างล่างแต่เป็นมุมสูง เดินมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มร้อน เราเลยขออนุญาตวางกระเป๋าที่แบกมากับเสื้อกันหนาวที่ก้อนหินบนทุ่งหญ้าสาธารณะแห่งหนึ่งระหว่างทาง (พอเดินกลับมาอีกรอบนึงก็ยังเห็นอยู่ที่เดิมอยู่) ผ่านมาประมาณยี่สิบนาทีก็มาถึงพิพิธภัณฑ์ตอนอีกสิบห้านาทีจะถึงเวลาปิด เราเข้าไปข้างในพบกับคุณเจ้าหน้าที่ ที่บอกว่าใกล้ถึงเวลาปิดแล้วนะ แต่ก็สามารถเข้าชมได้อยู่ และตอนนี้มีนิทรรศการพิเศษที่ชั้นสองด้วย จะต่อเวลาให้นิดนึง อย่าลืมไปดูล่ะ คุณพนักงานใจดีมาก ๆ เลย เนื่องด้วยใกล้ปิดด้วยเลยลดราคาให้อีกเหลือครึ่งราคา 

    หน้าต่างบ้านโบราณทีี่เลือกมุมในการสร้างบ้านได้ดีจริง ๆ


    เรารีบเดินไปชมบ้านเก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ เป็นหมู่บ้านแห่งแรกที่มีคนมาตั้งรกรากที่เมืองแห่งนี้ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะเดินทางมาไกลเหมือนกัน ขึ้นมาตั้งบนภูเขาเชียว แต่เมื่อเดินไปถึงที่หน้าต่างก็เห็นวิวทะเลสาบและภูเขาน้ำแข็ง ถือว่าเป็นการตั้งรกรากที่เลือกวิวได้ดี ภายในบ้านโบราณเหล่านี้ก็มีโต๊ะตู้เตียงข้าวของจำลองไว้เหมือนในอดีต ทำให้ตอนที่เดินชมบ้านแต่ละหลัง เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในยุคสมัยที่มีการอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้จริง ๆ หลังจากเดินชมจนครบก็ขึ้นไปดูนิทรรศการประวัติศาสตร์เมืองที่ชั้นสองของอาคารพิพิธภัณฑ์ เราคิดว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้น่าจะเป็นที่ที่วิวสวยที่สุดในโลก

    บ้านเล็กบนภูเขา ที่มีพื้นหลังเป็นภูเขาน้ำแข็ง

    หลังจากชมพิพิธภัณฑ์เสร็จพวกเราก็พากันเดินลง ระหว่างทางมีทุ่งหญ้าที่มีก้อนฟาง และขี้วัวนิดหน่อย ทำให้ภาพที่สวยงามเหล่านี้มีกลิ่นเฉพาะตัวที่พิเศษเป็นกลิ่นดินผสมหญ้าและขี้วัว เราเจอแมวน้อยขี้อ้อนตัวนึงเล่นด้วยระหว่างทาง และแล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟ เราต้องต่อบัสเพื่อจะไปที่ที่พัก

    ขณะจะเดินทางไปที่พักก็ค่อนข้างงงกับรถบัสว่าต้องขึ้นคันไหนดี เพราะที่นี่มีรถบัสของสองบริษัท ไม่มีรีวิวหรือคำแนะนำวิธีการขึ้นรถบัสของเมืองแห่งนี้อยู่ที่ไหนเลยบนโลกอินเตอร์เน็ต รถที่เราจะขึ้นเป็นรอบสุดท้ายของวันนี้แล้วด้วย เราไปถามคนขับของบัสคันที่จอด แต่คนขับก็บอกว่าคันของเขาไม่ได้ไปที่จุดที่เราจะลง และพาไปอีกคันหนึ่ง คุณคนขับคันที่สองทำหน้าเครียด พร้อมออกไปสูบบุหรี่ แต่สุดท้ายเราก็ได้ขึ้นคันนั้นและมาจนถึงที่พักจนได้ ในการเดินทางที่เมืองนี้เราซื้อตั๋วผ่านแอป เปิดบาร์โค้ดให้คนขับได้เลย สะดวกดี แต่แต่ละเมืองที่นี่ก็ใช้คนละแอป

    มาถึงที่ที่พัก Lunde Camping สุดประหยัด รถบัสจอดที่ด้านหน้า แล้วเราก็มองเห็นน้ำตกที่อยู่ติดถนน เราเดินไปเชคอินที่ร้านค้าด้านหน้าน้ำตก ดูเหมือนเจ้าของร้านค้าและที่พักแห่งนี้จะผูกขาดน้ำตกนี้ไว้เลย คุณลุงที่ร้านค้าอธิบายเกี่ยวกับห้องพักและการใช้ห้องน้ำ ถ้าจะอาบน้ำที่นี่ต้องแลกเหรียญไว้หยอดเพิ่มด้วย และคุณลุงก็ให้ยืมถ้วยจานและแก้วมาเพิ่มเติม พวกเราเดินไปที่บ้านพักของเรา ได้บ้านเบอร์ 13 ในวันนี้เหมือนที่พักแห่งนี้ก็ไม่ได้เป็นที่ินิยมซักเท่าไหร่ นอกจากเราก็มี Biker กลุ่มหนึ่งที่พักอยู่บ้านพักหลังข้าง ๆ แล้วก็ไม่มีใครอีก ด้านในบ้านพักมีเตียงสองชั้น โต๊ะเก้าอี้ เตาไฟฟ้ากาน้ำร้อน ดูสะดวกครบครันพอสมควรเลยทีเดียว กับราคาพันกว่า ๆ ต่อสองคนที่หาได้ยากในนอร์เวย์ การมาพักที่นี่นับเป็นการตัดสินใจที่ดี บอกเลยว่าคุ้ม พวกเรากินมื้อเย็นเป็นขนมที่ซื้อมาจากร้านค้าในเมืองที่ยังเหลือกับมาม่าและโจ๊กที่เพื่อนรักหอบมามากมาย และจิบชากับกาแฟดริปยามเย็น ยังเหลือเวลาอีกเยอะก่อนที่จะมืด เพราะว่าแถบนี้ในฤดูนี้กว่าพระอาทิตย์จะตกก็สามทุ่ม

    พวกเราเดินออกไปจากที่พักไปชมน้ำตกใกล้ ๆ ช่างเป็นบริเวณที่เงียบสงบและห่างไกล รอบ ๆ ที่พักมีหมู่บ้านเล็ก ๆ มาก ๆ มีบ้านประมาณสามสี่หลัง ด้านหน้าที่พักเป็นถนนใหญ่ จากการค้นหาใน google map ก็พบว่าสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ฉันที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปเมื่อเดินด้วยเท้าถึงเกือบชั่วโมง เราเลยตัดสินใจเดินเล่นไปเรื่อย ๆ แบบมั่ว ๆ โดยไม่มีจุดหมาย เราสุ่มจิ้มใน google map เจอบึงแห่งหนึ่งดูจะขนาดใหญ่พอสมควร ถึงจะไม่ได้มีรีวิวใด ๆ ของสถานที่นั้น แต่ก็ว่าจะลองเดินไปดู เราค่อย ๆ เดินข้ามถนน ผ่านหมู่บ้านอีกหมู่บ้าน ลัดเลาะเข้าไปในป่า ในป่านั้นมีกองหิมะที่เริ่มละลาย ช่วงนี้อาการเริ่มอุ่นขึ้น แสงแดดคงค่อย ๆ ทำให้หิมะละลายกลายเป็นน้ำและไหลรวมกับลำธาร เดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอกับถนน พวกเราเดินเลียบถนนไปจนถึงบึงที่ว่า


    Somewhere only we know, Vetlavanet

    ภาพเสี้ยวแรกที่เห็นของบึงแห่งนี้ มันสวยมาก สวยจนตะลึง งงมาก ๆ ว่าทำไมที่แบบนี้ไม่มีใครรู้จักหรือลงไว้ในแมพเลยหรอ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเราเป็นผู้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ บึงที่บางส่วนยังคงเป็นน้ำแข็ง สะท้อนภาพภูเขาน้ำแข็งในพื้นหลัง หรือสถานที่แบบนี้อาจจะมีเยอะจนคนแถวนี้คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเรามันสวยมากที่สุดที่เคยพบเจอ และยิ่งพิเศษเพราะเป็นที่ที่มีแต่เราที่รู้จัก เดินเลียบบึงนี้ขึ้นไปชมวิว จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาทางเดิมเพราะกลัวว่าจะไกลเกินไป เราเดินลุยทุ่งที่ชื้นแฉะเพราะหิมะที่พึ่งละลายเพื่อไปดูบึงใกล้ ๆ พบกับป้ายชื่อของสถานที่แห่งนี้ที่เราจะจำไว้ตลอดไป Vetlavanet

    หลังจากชื่นชมบึงเราก็เดินกลับที่พักตามทางเดิม เลียบถนน ลัดเลาะป่า ข้ามแม่น้ำ เมื่อเห็นน้ำตกมาแต่ไกลก็รู้ว่าเดินมาใกล้ถึงที่พักแล้ว ในตอนนี้ท้องฟ้าสีฟ้าเริ่มผสมสีด้วยสีชมพูอมส้มของพระอาทิตย์ตก ถึงในมุมนี้จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ก็ตาม แต่ก็สวยงามมากจริง ๆ

    ภาพที่เห็นขณะเดินมากำลังจะถึงที่พัก

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in