สวัสดีครับ
ผมยำนาเบะ ผู้ชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยรัฐบาลธรรมดา ๆ ที่หาได้ทั่วไป
วันนี้จะมาพูดเกี่ยวกับตำราเรียนภาษาต่าง ๆ ครับ
อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้หนังสือเรียน อย่างภาษาพาทีกลับมาเป็นกระแสในโซเชียลอีกครั้ง ผมเลยอยากจะเขียนอะไรทำนองนั้นบ้างครับ
//ว่าแต่ญี่ปุ่นเขามีการไปขอโชยุจากร้านอื่นหรือบริจาคเงินจนหมดตัวบ้างไหมนะ (ฮา)
.
…
……
เอาละครับ ก่อนอื่น
ทุกคนเคยสงสัยไหมครับว่าทำไมตำราเรียนต่าง ๆ ถึงต้องมีการอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ เช่น หนังสือมินนะโนะนิงฮงโกะ ก็มีฉบับใหม่ หนังสือ อากิโกะ ก็มีการปรับปรุงตามยุคสมัย
เพราะฉบับเก่าภาพมันไม่สวยเหรอ ? มีการพิมพ์ตกเหรอ ?
ก็อาจจะใช่ครับ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักครับ
สาเหตุหลักที่ทำให้หนังสือเรียนต้องมีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลานั่นก็คือ
นั่นก็คือคือออออ…
……
………
……………
สิ่งของที่ปรากฎแต่งต่างกันตามแต่ละยุคสมัยและการเปลี่ยนแปลงทางภาษาครับ
ก่อนอื่น ถ้าถามว่า ‘สิ่งของที่ปรากฎแต่งต่างกันตามแต่ละยุคสมัย’ มันคืออะไร
มันก็คือสิ่งของรอบตัวเราแหละครับ
เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์หรืออาจจะเป็นสิ่งของที่ใหญ่ขึ้นไปอย่างรถก็ได้ครับ
คือสิ่งของพวกนี้มันไม่ได้มีมาตั้งแต่อดีตหลายร้อยปี และก็อาจจะไม่ได้อยู่ต่อไปในอนาคตอีกหลายร้อยปีก็ได้ครับ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ในยุคนี้ก็ไม่น่าจะมีใครใช้โทรเลขกันแล้ว (ผมเคยเห็นโทรเลขที่บ้านคุณตาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นใครใช้)
ถ้าถามว่าแล้วคนที่เกิดในยุคสมัยหลังจากนี้จำเป็นต้องรู้จักโทรเลขด้วยเหรอ
ผมตอบเลยว่า ถ้าไม่ได้กะจะทำงานเฉพาะทางก็ไม่ต้องรู้หรอกครับ
//ถ้าเก่ากว่านั้นก็อาจจะเป็นเพจเจอร์เป็นต้นไป
อ้าวแล้วมันเกี่ยวกับการอัพเดทหนังสือเรียนยังไงล่ะ
คือหนังสือเรียนภาษา ตามพื้นฐานแล้วจะเริ่มจดจำคำศัพท์จากสิ่งใกล้ตัวก่อนครับ
ทำให้ผู้เรียนสามารถใช้คำศัพท์นั้นได้ทันทีเพราะมีโอกาสได้ใช้ในชีวิตจริง
ยกตัวอย่างเช่น スマホ เรียนปุ๊บก็ใช้กับคนญี่ปุ่นได้ทันที
แต่อย่างที่ผมบอกไปครับว่า สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่อดีต
อย่างในหนังสือมินนะฉบับแรกก็ไม่ได้มีคำศัพท์นี้ครับ
ฉบับแรก ๆ รู้สึกจะมีคำศัพท์ประมาณ Word Processor เครื่องพิมพ์ดีด อะไรประมาณนี้ครับ
สมมุติว่าตอนเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นวันแรก ครูที่สอนยังใช้มินนะฉบับแรกอยู่
แล้วเขาสอนคำว่า ワープロ ให้คุณ
.
…งงเป็นไก่ตาแตกแน่นอน (ฮา)
อ่านแล้วก็จะนึกภาพไม่ออกว่ามันคืออะไร
เรียนศัพท์ไปทำไม?
เราเป็นแค่คนต่างชาติแท้ ๆ จะรู้ศัพท์พวกนี้ไปทำไม
ง่าย ๆ ก็คือพอเวลาผ่านไป สิ่งของบางอย่างเราไม่ต้องรู้จักมันก็ได้
ดังนั้นหนังสือเรียนภาษาต่าง ๆ จึงต้องมีการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้ และเพิ่มสิ่งที่ต้องรู้เข้ามาในแต่ละยุคสมัยครับ
นั่นทำให้เกิดหนังสือเรียน xxx ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2.. 3.. 4… ไปเรื่อย ๆ
แต่ว่านอกจากคำศัพท์แล้วก็อย่าลืมนะครับว่า ตัวภาษาหรือไวยากรณ์เองก็มีการเปลี่ยนเหมือนกันครับ
สิ่งนี้ทางภาษาศาสตร์เราจะเรียกกันว่าการเปลี่ยนแปลงทางภาษา (言語変化)
ทุกคนลองนึกภาพตอนที่ตัวเองกำลังเรียนประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาช่วงมัธยมดูก็ได้ครับ
เวลาเขาคุยกันก็จะแบบ
แล้วเจ้าจะลาจากเมียหรือ
คำว่า ‘หรือ’ เนี่ย ตอนนี้ผมไม่คิดว่าจะมีใครใช้แล้วนะครับ
สมัยนี้ถ้าพูดออกเสียงกันน่าจะเป็น ‘หรอ’
หรือสำหรับบางคนออกเสียง ‘หรอ’ เฉพาะตอนพูด ส่วนตอนเขียนเป็น ‘เหรอ’
เห็นไหมครับว่าภาษามันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเวลาจริง ๆ
มีอีกตัวอย่างที่ทุกคนอาจจะไม่ทันสังเกต
ผมคิดว่าคำว่า ‘เพิ่ง’ น่าจะเป็นคนที่หลาย ๆ คนใช้
ถ้าถามว่าต่างกับ ‘พึ่ง’ ยังไง
ถ้าคุณเปิดพจนานุกรมราชบัณฑิต จะขึ้นคำอธิบายของ ‘เพิ่ง’ ครับว่า ‘พึ่ง’
เพราะฉะนั้นไม่ต่างกันครับ เพียงแต่ทางราชบัญฑิตเขาเห็นว่ามีคนใช้คำว่า ‘เพิ่ง’ เป็นจำนวนมาก
ทางราชบัญฑิตเลยบัญญัติศัพท์เพิ่มไปครับ
ถ้าอย่างนั้นผมขอตั้งคำถามกับผู้อ่านทุกท่าน
คุณคิดว่าทำไมทั้งสองคำนี้ถึงมีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาครับ
.
…
……
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า
เป็นเพราะมันออกเสียงง่ายกว่าครับ
ไม่ใช่เป็นที่นิสัยของคนในสังคมนั้น ๆ เหรอครับ เช่นคนไทยอาจจะขี้เกียจก็ได้?
คือถ้ามันเป็นแค่ภาษาเดียวจะคิดอย่างงั้นก็ไม่ผิดหรอกครับ
แต่ประเด็นคือมันเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ในทุกภาษาครับ
ลองนึกภาพตอนเราเรียนภาษาญี่ปุ่นชั้นแรก ๆ ดูก็ได้ครับ
ตอนเราเรียนการผันรูป させられる(รูป使役受身)
หนังสือเรียนหรือครูผู้สอนก็จะบอกว่าย่อหรือรูป される ได้
แล้วผมก็คิดว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะใช้รูปย่อกันเพราะไม่อยากออกยาว ๆ ใช่ไหมครับ
ผมคิดว่าลักษณะการเกิดปรากฏการณ์นี้มันมีความคล้ายกันมากในหลาย ๆ ภาษา
แล้วก็รู้สึกว่าช่วงนี้คนญี่ปุ่นเริ่มจะมีปรากฏการณ์ 「ら抜き言葉」เกิดขึ้น
มันคือการที่ไม่ออกเสียง ら ในเมื่อผันกริยารูปสามารถ (可能形)
เช่น 見られる กลายเป็น 見れる
来られる กลายเป็น 来れる
ที่มาของรูป ら抜き ก็คือ
มีคนจำนวนหนึ่งมองว่าภาษาญี่ปุ่นมีการผันแล้วออกเสียง られる เยอะมาก
เช่น 1.รูปสามารถ(可能形)ก็ผันเป็น られる ได้ เช่น 食べられる สามารถกินได้
2.รูปถูกกระทำ (受け身)ก็ผันเป็น られる ได้ เช่น 食べられる ที่หมายถึง ถูกกิน
3.รูปยกย่อง (尊敬)ก็ใช้รูป受け身เหมือนกัน เช่น 先生は私の名前を呼ばれた。= อาจารย์เรียกชื่อฉัน
=เป็นการยกย่องอาจารย์ที่เรียนชื่อฉัน
ดังนั้นถ้าเราตัด ไม่พูด ら ในรูปสามารถ(可能形)เวลาฟังเราก็จะสับสนน้อยลงว่าผู้พูดกำลังใช้การผันรูปไหนอยู่
—-------------------------------------------
แต่ว่ารูป ら抜き เนี่ย
ตอนนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากสักเท่าไรครับ
ในอนาคตก็อาจจะเป็นที่แพร่หลายจนกลายเป็นเรื่องปกติเหมือน させられる(รูป使役受身)ก็ได้ครับ
ไม่ว่าอย่างไรภาษาก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว
อนาคต ในหนังสือเรียนเราอาจจะเห็นการบัญญัติรูป ら抜き เพื่อใช้ในรูปสามารถ(可能形)ก็ได้ครับ
และถ้าเวลานั้นมาถึงพวกเราก็อาจจะอายุมากแล้ว
พยายามไปกดดันว่าการพูดแบบนี้มันผิด ! これは正しい日本語じゃない อะไรแบบนี้นะครับ
(หรือจะพูดก็ได้ถ้ามันขัดใจจริง ๆ (ฮา))
แต่ผมคิดว่าภาษาไทยเองก็มีโอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้อยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกันครับ
ถ้าอย่างนั้นแล้วเรามาสรุปเนื้อหาวันนี้กันอีกครั้งดีกว่า
ถ้ามีคนพูดให้ฟังวา ‘โอ้ย ตำราเรียนจะอัพเดทบ่อยอะไรขนาดนั้นนนน เอาเก่าดีกว่า’
ก็ลองอธิบายให้เขาฟังนะครับว่า
ตำราเรียนเขาต้องอัพเดทศัพท์รอบตัวนะ
อย่างในยุคสมัยนี้ถ้าตำราเรียนยังสอนคำศัพท์เครื่องword processor อะไรแบบนี้อยู่
ออกนอกห้องไปผู้เรียนเขาก็ลืมแล้ว
แถมโลกเรายังมีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาอยู่ตลอดเวลาด้วยนะ
ทุกวันนี้เราไม่พูด ‘หรือ’ ในประโยคคำถามกันแล้วใช่ไหม
ภาษาอื่นก็เหมือนกัน
ตำราจากยุคสมัยไหนก็ใช้ได้แค่ในยุคสมัยนั้นเท่านั้นครับ
อ๊ะ แต่เวลาอธิบายอย่าลืมใช้นำเสียงเรียบ ๆ อย่าให้เขาโกรธกันด้วยล่ะ (ฮา)
—------------------------------------------------------
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเนื้อหาในวันนี้
จริง ๆ ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเขียนเนื้อหายาวขนาดนี้หรอกครับ
แต่เขียนไปเขียนมามันเพลินไปหน่อย (ฮา)
ถ้าใครมีความเห็นอะไรก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้เลยนะครับ
ผมจะตามอ่านอยู่เสมอ
ถ้าอย่างนั้นแล้ว
ไว้พบกันใหม่นะครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in