"You will burn and you will burn out; you will be healed and come back again."
-- Fyodor Dostoyevsky, The Brothers Karamazov
"เจ้าจะอ่อนล้า และจะถูกแผดเผาจนมอดไหม้; เจ้าจะได้รับการเยียวยารักษาและฟื้นกล้บคืนมาอีกครั้ง"
-- ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้, พี่น้องคารามาซอฟ
เราออกจากโรงหนังด้วยรอยยิ้ม จะพูดว่าไม่ได้คาดไว้ก็คงโกหก
*คำเตือน: อาจหยอดคำว่า 'น่ารัก' ซ้ำๆเมื่อพูดถึงเอซรา
รีวิวสั้นๆ : Justice League (2017) ดูสนุกเพลินเหมือนการ์ตูนเช้าวันเสาร์ แทรกมุขเฮฮาพอใช้ เสียดายตีแผ่ตัวละครบางไป ตัวหนังอ่อนด้วยบทและโทนที่ไม่สม่ำเสมอ
โปสเตอร์อาร์ตๆ จาก Mondo Con 2017 สุดงดงาม โดย ลี เบอร์เมโจ (Lee Bermejo)
จริงๆ เราชินชากับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ไปแล้ว จากมาร์เวลที่เริ่มมาดีสมัย Iron Man จนยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ น่าดูน้อยลงตามลำดับ (Spiderman: Homecoming ยังช่วยไว้ได้บ้าง) ประกอบกับดีซี ที่เข็นหนังเซๆเละมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า (Suicide Squad คือความผิดหวังที่ไม่สมกับการตลาดสุดโต่ง บอกตรงๆคือตามการตลาดสนุกกว่าหนังอีก--)
ที่ไม่ละเลิกหยุดดูไปซะก่อน (แต่ก็ข้ามไปหลายเรื่องอยู่) ก็เพราะตั้งใจไปสนับสนุนนักแสดงที่ติดตาม และเพราะรักในตัวละครตัวนั้นๆ ในแต่ละเรื่อง
เลิกหวังกับหนังดีซีหลัง Suicide Squad ทำพังต่อหน้าต่อตา จนกระทั่ง Wonder Woman ของแม่กัล กาโดท์ ออกมาทำให้ชุ่มชื่นหัวใจกันบ้าง (เป็นหนังจากผู้กำกับหญิงที่สร้างประวัติการณ์เลย แต่ของเขาดีจริงๆ) ทำให้พอมีหวังกับ Justice League
เพราะยังไงก็ต้องไปดูแม่กัล กับเอซราของเรา!
(All else be damned. ช่างมันทุกอย่าง อะไรประมาณนั้น)
----- อาจมีสปอยล์เล็กน้อย ----
โดยรวมแล้ว Justice League เป็นการรวมทีมที่เร่งรัด รีบแนะนำตัวละครทีละตัวอย่างรวดเร็ว พร้อมเนื้อเรื่องที่รู้สึกโดนระเบิดไปคนละทิศละทาง แล้วค่อยมาเก็บเศษเอาทีหลัง หนังพลิกไปมาระหว่างอารมณ์ดราม่า (หรอ?) กับตลกโปกฮา (comic relief) แต่ถ้าดูเบาๆ ไม่คิดอะไร สไตล์ตื่นมาดูซุปเปอร์ฮีโร่บนจอทีวีทยานสู้กันเช้าวันเสาร์ก็พอไปได้ เพราะโทนที่ไม่สม่ำเสมอนี่แหละ ทำให้หนังถูกลืมง่ายเมื่อก้าวออกจากโรง
โปสหันด้านข้าง (Profile Shot) ของทีมจัสติส ลีกที่เน้นสีหลักของตัวละคร เสียดายไม่มีในไทย แต่ชอบจัง
การตัดภาพรู้สึกฉึบฉับไวมาก ดนตรีเร้าใจบางช่วง (แอบชอบ montage ฉากติดต่อกันต้นเรื่องที่ประกอบเพลง Everybody Knows ร้าวใจเราดี) แต่นึกจะจบก็จบซะงั้น ตัวร้ายนี่แทบไม่มีความหมาย บ้าบอไปเลย
----สปอยล์นะคะ- --
ทางด้านตัวละคร:
แค่กู้โลกก็พอแล้ว: Batman พี่แบทเฟล็ก (Batfleck) ดูอึนตลอดเรื่อง สายตาคล้ายแบกรับภาระที่ต้องช่วยกู้โลกไว้จริงจัง แถมเหมือนยังจะอ้อนวอน "เอาผมออกไปจากสูทนี่ที!" บทหนังทำอย่างไรก็ไม่รู้ จนพี่แบทกลายเป็นตัวละครสมทบ เดี๋ยวโผล่ไปนู่นที นี่ที มาบางฉากแบบครึ่งๆกลางๆ รู้สึกอึนตามพี่แกไป แล้วก็จำอะไรๆของตัวละครไม่ได้มาก แอบเสียดายและคิดถึงแบทเวอร์โนแลนเลยค่ะ (รู้นะว่ามันต่างกัน ... แต่ความรู้สึกที่มีต่อแบทแมนของเรามันเปลี่ยนไปแล้ว ดาร์กไนท์ของก็อตแธมกลับไม่รู้สึกเท่ ไม่เป็นคน 'สีเทา' แต่เป็นคนหงอยๆ เกร็งๆ ที่รู้สึกผิดกับตัวเองตลอดเวลา...เราเหนื่อยแทนทุกทีๆเห็นพี่แกเข้าฉาก)
ทางเว็บ
GamesRadar แอบแรงด้วยพาดหัว "บางทีเราน่าจะเอาจอร์จ คลูนี่ย์คืนมา"
....เป็นไงละ
น้ำจะสื่อสารเอง: Aquaman
พี่อควาแมน เจสัน โมโมอา น่ารักมากกกกก มาแบบนิ่งๆ ทำให้เรารู้จัก 'มนุษย์แห่งท้องทะเล' คนนี้มากขึ้น(นิด) ถึงบทจะไม่ส่ง แต่การแสดงของพี่มีชีวิตชีวาดูแล้วอินกับตัวละคร ชอบมากๆ เสียดายที่ฉากใต้น้ำมาแบบเจือจาง บทเหมือนเขียนไม่เสร็จละโยนให้ถ่าย ราชินีมีรา พูดสองสามคำเอง ต้องรอภาคเดี่ยวใช่ไหม5555
ทริปนี้ยังไม่สิ้นสุดนะพวก: Cyborg
ไซบอร์ก ของเรย์ ฟิชเชอร์ สมน้ำสมเนื้อ เป็นการแสดงที่ควรได้รับคำชมพอๆกับเอซราและแม่กัล แต่ละฉากที่ออกตัวละครมีน้ำหนัก มีแบคกราวน์จริงจัง แต่ยังไงเราก็อยากรู้มากขึ้นไปอีก ฉากในสุสานกับเอซรานี่เคมีและการส่ง - รับบทจังหวะเยี่ยม
"เรามันพวกอุบัติเหตุ - We're the accidents." จึก ที่ใจเลย
สีหน้าพี่ทุกฉากนี่คิดหนักตามไปด้วยค่ะ
ผมเชื่อในความยุติธรรม: Superman
พี่ซุปมาแบบนุ่มนวลแต่หนักแน่น แรงแต่ฉากแรก ชอบเวลาอยู่กับผู้หญิงสองคนในชีวิต อบอุ่นดี เฮนรี่ คาวิลล์แสดงได้พระเอกมาก ฉากเปิดคือทำให้อมยิ้มกับความเอ็นดูเด็กๆของพี่ กับการหันหน้าไปคิดคำตอบต่อคำถาม "คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดของโลกฮะ" ฉากหลังๆคือกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายตัวร้ายเฉยๆ กลับไม่เด่นอะไร ส่วนลูอิส เลน ของเอมี่ อดัมส์ยังหวาน เข้มแข็ง ดีงามในบทเล็กๆของเธอ
เขาว่ายุคของฮีโร่อาจไม่กลับคืนมา : Wonder Woman
แม่ไดอาน่า มาเหนือชั้นตั้งแต่ฉากเปิดตัวกับประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจ "ฉันเป็นผู้เชื่อ - I'm a believer." ที่ทำเราย้อนนึกถึง Wonder Woman ในเสี้ยววินาที ต้องขอบคุณแพตตี้ เจนกินส์ที่ปูเรื่องมาดิบดี ให้ตัวละครไดอาน่าแข็งแกร่งภาคนี้ แต่ยังไงก็ไม่ปังเท่า บางมุขก็แอบแป้ก ...เหมือนคาดไว้ว่าจะพูดงี้ แล้วก็พูดจริงๆ ยังดูไม่เข้าที่เข้าทาง (ขนาดตัวละครเด่นสุดละนะ!)
แต่รักแม่มาก ลีลาสู้รบยังมีอำนาจล้างผลาญ ยิ้มทีนี่ใจละลายเต็มๆ!
ผมไม่เคยสู้รบในสงคราม: The Flash
แบร์รี่ อัลเลนของเรา อมยิ้มกับความตะมุตะมิของเด็กแฟลชแต่ต้นเรื่องเลย เอซรายังแสดงได้ละเอียดอ่อนเหมือนเดิม ใส่ใจทุกอย่างแม้จะฉากเล็กๆกับพ่อ ถ้าสังเกตแววตา สีหน้า รู้สึกร่วมไปด้วยทุกฉาก เราคาดตั้งแต่เห็นตัวอย่าง Justice League ที่ปล่อยออกมาตอนคอมิค คอนปีที่แล้วละว่าแฟลชของเอซต้องดีงาม แล้วก็ไม่ผิดหวัง
ฉากแนะนำตัวในบ้านที่เอซราใส่อากัปกิริยาเล็กๆน้อยๆ (มองซ้ายขวา หลุกหลิก พูดติดอ่างนิดๆ) ให้แฟลชเป็นแฟลชในฉบับเขา น้ำเสียงลุกลน และมุขด้นสด (ได้ยินมาจากสัมภาษณ์พรมแดงว่าเป็นงั้น) ที่โดนใจทุกมุข ทำเราหัวเราะตลอด ถ้าจะฟินอะไรกับหนังก็ฟินกับความน่ารักของเด็กแฟลชมาก ขึ้เล่น อยากรู้อยากเห็น ดุ๊กดิ๊กสุด พูดไม่หยุด
คำนิยาม "A handsome Jewish boy - เด็กหนุ่มยิวหล่อเหลา" ที่เด็กแฟลชใช้แก้ตัวกับพี่แบทว่าไม่ใช่เขาหรอกในวิดีโอฟุตเทจนั่น แสดงความที่เอซราใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในแบร์รี่ เราไม่รู้ว่าแฟลชเป็นยิวหรือเปล่า แต่เอซราเป็น แถมแอบชมตัวเองตอนโกหกหลุดๆต่อหน้าพี่แบทอีกว่าคนหน้าเหมือนตัวเองนั้นเป็นยิว
มุข "snackhole" ที่รวม "blackhole กับ snack" (หลุมดำและขนมคบเคี้ยว) ทำให้เด็กแฟลชเป็นตัวละครที่คงความเป็นวัยรุ่นซุกซน พล่ามเกี่ยวกับการเผาผลาญพลังงานอย่างรวดเร็วของตัวเอง ขณะที่คนอื่นเขาเครียดกันหมด
มุข "brunch" นี่ก็น่ารัก ตอนแรกเราก็ไม่เคยเข้าใจคอนเซ็ปท์นี้เหมือนกัน เป็นอะไรที่กึ่งๆมาก สรุปจะข้าวเช้าหรือข้าวเที่ยง555 ไปๆ มาๆ มันคือข้าวเช้าของคนตื่นสายค่ะ กึ่งๆมื้อเที่ยง แล้วจะมีเมนูโดยเฉพาะด้วย บางร้านอาหารนี่สร้างชื่อจาก brunch เลยทีเดียว (เอาเป็นว่า brunch อร่อยกว่าอาหารเช้าอีกบางที) แต่สำหรับ เดอะแฟลช อะไรๆก็เร็ว จะมากึ่งๆแบบนี้ขัดกับนิสัยแบร์รี่เนอะ เช้าก็เช้าไปเลย เรียกว่าเอซราเล่นกับภาษา "พวกคนนี่...เข้าใจยาก (ช้า) กันจัง - Humans can be a bit... slow." ได้สนุกปาก เพราะแบร์รี่เป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบ เร็วทั้งสมองและร่างกาย ข้อเปรียบเปรยที่ว่า อยู่เหนือคนอื่นก้าวหนึ่ง ใช้ไม่ได้สำหรับเขา เพราะมนุษย์ปกติทั้งช้า ทั้งตามเขาไม่ทันแม้ด้านพื้นฐานในชีวิตประจำวันสุดอย่างการกินข้าว (ต้องตื่นสายมารอกินมื้อกึ่งๆหรอ?!) คำว่า 'slow' นี่สามารถใช้เป็นคำลบว่าคน 'บื้อ' ได้ แต่เด็กแฟลชแค่หมายความว่าเขาไม่เข้าใจพฤติกรรมในชีวิตของมนุษย์ทั่วไปนั่นเอง
แล้วยังประโยคที่พูดกับไซบอร์กว่า "พี่จัดการด้านเทคนิคนะ ผมจะจัดการแมลงเอง - You do the technical, I'll fix the bug." นี่เรายิ้มกว้างอีกแล้ว เหมือนมุขคอมที่ผ่านมากๆ เพราะตัวไซบอร์กก็ยุ่งกับงานหลักๆ แก้ปัญหาในฉากนั้น ส่วนแบร์รี่ก็ตบยุงปีศาจไป คล้ายคนที่ช่วยแก้ปัญหาเล็กน้อยระหว่างการ debug โปรแกรม ขณะคนอื่นซ่อมส่วนหลักของโปรแกรมไป เราอาจจะมองไปทางนี้ เป็นมุขที่ล้ำดี ชอบ (ชอตตอนหลังแอบเห็นนะว่ามองพี่วิคตาเยิ้มเชียว--)
VIDEO
เอซรากับพี่เรย์เปิดกล่องตุ๊กตาตัวละครของตัวเองเป็นครั้งแรก แล้วเอามาสู้กันมุมิ แต่มุขที่ชนะเลิศ และติดหู ติดความทรงจำเรามากที่สุด (คำที่ทำให้เราหลงหนังขนาดคงเพิ่มอีกครึ่งดาวให้ถ้าจะมีระบบเรตติ้งเป็นดาว) คือคำๆ เดียวในน้ำเสียงลิงโลดของเด็กแฟลช:
"ดอสโตเยฟสกี้! - Dostoyevsky! "
โอย พระเจ้า! ในฐานะคนหลงรักวรรณกรรมและหนอนหนังสือนี่เราถึงกับกุมอก หัวเราะออกเสียงแรงมากในโรง (ไม่ได้หัวเราะขนาดนี้เพราะหนังสักพักละ ขอบคุณนะเอซรา)
นักเขียนวรรณกรรมคลาสสิกของรัสเซียในหนังแมส (mass) ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ลังเลในโทนของตัวเอง!!
ถึงกับไปค้นหนังสือมาถ่ายกับเด็กแฟลช ปลื้มมม
คงจะเป็นครั้งแรกที่เรากลับจากหนังฮีโร่แล้วมุ่งเข้าร้านหนังสือหาวรรณกรรมคลาสสิกมาอ่านต่อ และอ่านใหม่
เราเคยอ่าน อาชญากรรม และ การลงทัณฑ์ (Crime and Punishment ) เล่มหนาปึ๊ก สมัยมอปลาย แต่แอบอยากกลับมาอ่านภาษาอังกฤษใหม่ นิยายดอสโตเยฟสกี้ เล่มสุดท้ายที่อ่านไปคือ Notes From The Underground รวมเรื่องสั้นเล่มบางที่มีประโยคเด็ดอย่าง "แต่เจ้ามีชีวิตอยู่โดยไม่มีเรื่องเล่าขานได้อย่างไร --But how could you live and have no story to tell?" (จาก White nights, คืนสีขาว)
หากอยากจะเข้าใจชีวิต ความสัมพันธ์ ความคิดมนุษย์ที่หลากหลายและซับซ้อน วรรณกรรมและนักเขียนรัสเซียก็เป็นทางเลือกที่เต็มไปด้วยภาษาละเมียดละไม มีศิลปะ และถ้อยคำที่ 'ตรง' กับหลายแง่ในชีวิต
ประเด็นคือเด็กแฟลชของเอซรานี่รู้จักทั้ง ดอสโตเยฟสกี้ ทั้ง Blackpink ของเกาหลี มันจะน่ารักโดนใจเราเกินไปแล้ว! (แอบคิดว่าเป็นมุขด้นสดของหนุ่มติสท์อย่างเอซรามาก
เดอะแฟลชฉบับทีวี ของ แกรนท์ กัสติน Grant Gustin ยังดูเป็นเด็กเนิร์ดวิทย์อยู่)
Come Together: In Sum คะแนน Justice League เราให้ 3/5 ค่ะ พอไปได้ เพราะความชอบส่วนตัวแท้ๆ กัล เรย์ และเอซราสร้างความแตกต่างให้หนังที่อาจกลายเป็นอะไรซึมๆที่มึนงงกับตัวเอง
ทีมจัสติส ลีก ที่ซานดิโก คอมิค คอนปีที่ผ่านมา ครอบครัวอบอุ่นอีกแล้ว ^^
อาจกลับมาอัพเดทหลังไปดู IMAX เพิ่มอีกรอบค่ะ
ตอนนี้ขอตัวไปหยิบงานของดอสโตเยฟสกี้อย่าง The Brothers Karamazov (พี่น้องคารามาซอฟ) กับ The Idiot (คนงี่เง่า) มาอ่านก่อนนะคะ
(เอากับเด็กแฟลชของเอซราสิ!!)
--- หมดสปอยล์ ---
ป.ล. คำคมพาดหัวเราว่าเหมาะกับพี่ซุปมากเลย แต่ในแง่วิเคราะห์ความหมายวรรณกรรมก็ใช้กับชีวิตได้ ไม่ว่าจะกรณีไหน ช่วงไหนของชีวิต คนเราย่อมพบเจอมรสุมที่ทำพ่ายแพ้ อ่อนแรง จนสู้ไม่ไหว ถูกเผาจนมอดไหม้ แต่ในที่สุดก็ต้องรักษาเยียวยา (ไม่ว่าจะจากคนอื่นหรือด้วยตัวเอง) เพื่อฟื้นกลับมาใช้ชีวิตต่ออีกครั้ง
ทีมจัสติส ลีกถ่ายเซลฟี่ที่ Photo Call Session ตอนแวะทัวร์โปรโมทหนังที่กรุงลอนดอน แพ้ความสัมพันธ์นอกจอของทุกคนจริงๆ
พี่ซุปเขาว่าไว้ว่าอยากอยู่มากกว่าตาย (ก่อนจะมีมุขติดตลกนั่น--) ชีวิตเรายังมีความหมายต่อคนรอบข้าง ถึงแม้เราจะไม่ใช่ซุปเปอร์แมน แต่เราจะผ่านเรื่องหนักๆ ร้ายๆ ในชีวิต ไปได้เพราะการรักษาจากคนรอบข้างที่ดี ทั้งคนรู้ใจ เพื่อน และครอบครัว
จริงอยู่ที่คุณไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่ แต่การยืนหยัดสู้ชีวิตทุกวันให้ดีที่สุด เต็มที่สุด มีคุณค่าที่สุด ก็เสมือนคุณเป็นฮีโร่ในชีวิตของตัวเอง และชีวิตทุกคนที่เกี่ยวข้อง คุณไม่ได้มีทีมอย่างจัสติส ลีกคอยระวังหลัง แต่คุณก็มีแรงสนับสนุนของทีมคนที่รักคุณและคนที่คุณรัก พลังใจและกำลังใจจากพวกเขาจะเป็นพลังในการสู้ชีวิตของคุณต่อไปค่ะ
//
ขอบคุณที่สนใจอ่านนะคะ
คิดเห็น ชอบไม่ชอบยังไง รบกวนกดด้านล่างให้เรารู้ จะได้ปรับปรุงบทความต่อๆไปให้ดีขึ้นค่ะ
ติชม พูดคุยกับเราทางเม้นท์ข้างล่างได้เสมอ
หรือจะแวะมาทาง twitter: @
cineflectionsx หากชอบรีวิว ฝากเพจ FB ด้วยนะคะ เราจะมาอัพเดทความคิด บทเรียน และเรื่องราวจากหนังที่ชอบทั้งเก่าและใหม่เรื่อยๆค่ะ
ขอบคุณค่า
x ข้าวเอง.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in