Jack Reacher2: Never Go Back
ผู้กำกับ: Edward Zwick
เรื่องด้วย: Lee Child
นำแสดงโดย:Tom Cruise,Cobie Smulders
Genre: action, crime, drama, thriller
คะแนน: 7.5/10
หลังจากที่ Jack Reacher ในภาคแรกนั้นค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งทางสตูดิโอผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็ไม่รอช้าและได้ปล่อยเรื่องราวของนักสืบผู้นี้มาให้เราได้ติดตามกันอีกครั้ง แต่มันจะสนุกหรือไม่นั้นงานนี้เรามาติดตามกันดีกว่าครับ
สำหรับภาคนี้หนังมันดูได้เรื่อย ๆ แหละ แต่เป็นการดูแบบที่ว่าหงุดหงิดกับอะไรหลายอย่างในหนังเหลือเกิน ทั้งการเขียนบทช่วยตัวเอกให้รอดจากการถูกตามล่าอย่างง่ายดาย, ฉากใช้เครดิตการ์ดจนโดนตัวร้ายตามล่าที่ดูยังไงก็โคตรจงใจสร้างสถานการณ์ให้เกิดฉากแอ็คชั่น, ความไม่สมเหตุสมผลบนเครื่องบินที่มีคนสลบเหมือดไปสองคนแต่ยังลงจอดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งพอมองแบบนี้แล้วนึกถึงคริสโตเฟอร์ แม็คควอรี่ที่กำกับภาคแรก รายนั้นต่อให้หนังแย่แต่คิวบู๊ยังน่าจดจำบ้าง ส่วนเอ็ดเวิร์ด ซวิกซ์นี่ไม่หลงเหลืออะไรให้พูดถึงเลย
แจ็ค รีชเชอร์' (Tom Cruise) กำลังเดินทางมาพบ 'ผู้พันเทอร์เนอร์' (Cobie Smulders) แต่กลับพบว่าเธอถูกจับข้อหาจารกรรมข้อมูล เขาไม่เชื่อเช่นนั้นจึงพยายามสอบถามจากทนาย และไม่นานจากนั้นทนายก็กลายเป็นศพโดยที่เขากลายเป็นผู้ต้องหาในทันที เขาต้องช่วยเทอร์เนอร์หลบหนีพร้อม ๆ กับต้องมารับรู้ว่าตัวเองอาจมีลูกสาวที่พลัดพรากไป 15 ปี
เคยเขียนถึงทอม ครูซไปแล้วว่าเขาเสพติดการเป็นฮีโร่เหลือเกิน ลองสังเกตหนังที่เขาแสดงนำสิ บทจะเป็นแนวพระเอกฮีโร่กู้โลกตลอด เช่น Edge of Tomorrow, Valkyrie, The Last Samurai เช่นเดียวกับการเป็นแจ็ค รีชเชอร์ที่เหมือนสร้างมาเพื่อสนองความอยากเป็นฮีโร่ของเขา ซึ่งคงไม่ใช่ปัญหาอะไรถ้าหนังมันออกมาดีเหมือนหนังชุด Mission: Impossible
จริง ๆ ลำดับการเล่าเรื่องมันก็ตามสไตล์พิมพ์นิยมหนังจารชนที่ตัวเอกถูกป้ายความผิดจึงต้องหลบหนีพร้อมกับหาทางจับคนร้ายตัวจริงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งพล็อตเรื่องตัวร้ายเป็นกลุ่มทหารรับจ้างไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ไม่ใช่ปัญหาของหนังด้วยซ้ำ แต่จุดที่หนักหนาเอาการคือบทหนัง ถ้าว่าตามตรงตัวโครงเรื่องมันก็ถูกออกแบบตามมาตรฐานคือสลับแอ็คชั่น, ไล่ล่าหลบหนี, และสืบหาหลักฐาน ซึ่งโครงสร้างนี้จะชวนให้คนดูติดตามและตื่นเต้นอยู่ตลอด
แต่ประเด็นคือความสมเหตุสมผลของการไล่ล่าหลบหนีดูจะเป็นการเขียนบทสร้างโชคให้แจ็ค รีชเชอร์มากเกินไปจนน่าเบื่อ, แอ็คชั่นยังขาดฉากที่น่าจดจำ, ส่วนการสืบหาหลักฐานก็ไม่มีความซับซ้อนแถมพยานยังเปิดปากง่ายดายเพื่อให้จบอย่างรวดเร็วอีก ที่พอจะชดเชยขึ้นมาได้คือบทของ 'แซม' (Danika Yarosh) เด็กสาวที่น่าจะเป็นลูกของแจ็ค รีชเชอร์
กลายเป็นว่าพอพูดย้ำประเด็นเรื่องการอยู่ตัวคนเดียวแบบอิสระของรีชเชอร์และการมีลูกสาวซึ่งเป็นภาระผูกมัดนั้นมันเวิร์คกับหนังมาก ยิ่งสกิลลักเล็กขโมยน้อย, ช่ำชองการผูกมิตรกับฮิปปี้ของแซมดันลงตัวกับภารกิจอย่างไม่น่าเชื่อ การมีอยู่ของแซมที่เหมือนจะเป็นส่วนเกินของหนังจึงกลายเป็นจุดที่ทำให้หนังรอดตายได้หวุดหวิด ถึงกระนั้นฉากที่เธอใช้เครดิตการ์ดนี่ทำเอาเราหักครึ่งคะแนนไปเต็ม ๆ เพราะรู้เลยว่าเป็นการจงใจเขียนบทเพื่อสร้างฉากแจ็ค รีชเชอร์ ต้องมาช่วยลูกสาวและต่อสู้กับตัวร้าย ซึ่งแทบจะเดาสถานการณ์ฉากต่อฉากได้เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in