เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Juveniliaผู้เฝ้ามอง
[Fic Elsa&Loki] Once Upon a Time




  • กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว 

    ณ ดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเกิดเรื่องราวมหัศจรรย์ขึ้น 

    กล่าวขานเป็นตำนาน ชั่วลูกชั่วหลาน 




    แม้ในยามนี้จะเป็นเวลาเช้าตรู่ แต่หมอกเมฆหนาที่แผ่กว้างทั่วท้องนภาก็ทำให้เวลานี้ดูมืดครึ้มน่ากลัว ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ หิมะขาวใสปกคลุมไปทั่ว ตอนนี้เอเรนเดลอยู่ในช่วงฤดูหนาว ฤดูหนาวที่ดูจะหนาวกว่าทุกที บ้านทุกหลังเงียบกริบ ไม่มีการออกมาร้องรำทำเพลงหรือพูดคุยสนทนาค้าขายอย่างที่ควรจะเป็น ชาวบ้านแต่ละคนซ่อนตัวอยู่ในบ้านเงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมหวิว ๆ เสียดกับกิ่งไม้แห้งดังทั่วบริเวณ


    ท่ามกลางความเงียบเชียบและหิมะขาวโพลน ประตูวังบานหนาถูกปิดแน่นสนิท ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าทหารเสนาบดีมากมาย บนบัลลังก์ปรากฏร่างเพรียวสวยในชุดเกราะเหล็กหนาสีเงินวาว ดวงตาสีฟ้านิ่งสนิทแต่แฝงไปด้วยความหวาดหวั่นน่าประหลาด มือเหล็กกำหมัดแน่น ความวิตกระคนหวาดกลัวก่อกุมขึ้นในจิตใจ จนเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะกุมตามผนังและบัลลังก์ขึ้นตามอารมณ์ที่กำลังอ่อนไหวของหญิงสาว


    ราชินีเอลซ่า แห่งเอเรนเดล


    แน่นอนว่าฤดูหนาวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ฝีมือเธอ นับตั้งแต่ที่กลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง ก็ไม่เคยเกิดอะไรผิดปกติในตัวเธออีกเลย พลังทุกอย่างอยู่ในการควบคุมเป็นอย่างดี บ้านเมืองสงบสุขนับแต่นั้น จนกระทั่งมีบางสิ่งปรากฏตัวขึ้นหลังจากเธอครองราชย์ไม่นาน


    บานประตูวังเปิดออก เสียงประตูเสียดสีกับพื้นแหลมเสียดแทงรูหูได้เป็นอย่างดี ร่างของนายทหารคนหนึ่งกระหืดกระทอบเข้ามาในห้องโถง เขาพุ่งพรวดล้มลงตรงหน้าราชินีสาวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างละล่ำละลั่ก


    พวกมันมาแล้วพะยะค่ะ องค์ราชินี


    เอลซ่าลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดเธอก็ยังคงงามสง่าสมมาดราชินีเสมอ หญิงสาวกวาดสายตาไปทั่ว มองเหล่าทหารแต่ละคนด้วยสายตามุ่งมั่น


    "ข้าสัญญาว่า ทุกสิ่งที่พวกเราทำจะไม่สูญเปล่า เราจะสู้ไปด้วยกันเพื่อวันพรุ่งนี้ เพื่อครอบครัว เพื่อประชาชน เพื่อเอเรนเดล ความปลอดภัยและความหวังของประชาชนทุกคนอยู่ที่พวกเรา พวกเจ้าพร้อมสู้ไปกับข้าไหม"


    "พร้อมพะยะค่ะ!!!" เหล่าทหารขานรับเข้มแข็ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความฮึกเฮิม เสียงอาวุธกระทบพื้นหินอ่อนดังกึกก้องทั่วห้อง เอลซ่าหยิบดาบประจำตัวขึ้นชูเหนือศีรษะอย่างมาดมั่น


    "ข้าขอประกาศเริ่มสงครามนับแต่บัดนี้!!!"



    …………………………



    กองทัพแห่งเอเรนเดลยืนสงบนิ่งกลางลานหิมะกว้างนอกเมือง ครั้งหนึ่งที่นี้เป็นแม่น้ำกว้างใหญ่แต่ความหนาวเปลี่ยนให้ผืนน้ำกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งหนา เอลซ่านั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว ณ ที่ด้านหน้าสุดของกองทัพ เธอยังเฝ้ารอสิ่ง ๆ นั้นด้วยความใจเย็น สิ่ง ๆ นั้น ที่คุกคามเอเรนเดล สิ่ง ๆ นั้น ที่คร่าชีวิตชาวเมืองเธอมากมาย


    ผืนน้ำแข็งสั่นสะเทือน เสียงบางสิ่งกระทบพื้นน้ำแข็งดังใกล้เข้ามาทุกที หญิงสาวแทบจะหยุดหายใจเมื่อเริ่มปรากฏบางสิ่งเคลื่อนเข้ามา ร่างสูงใหญ่ไม่น้อยไปกว่าสามสิบฟุต ผิวที่ฟ้าเข้มมีลวดลายประหลาดสีแดงทั่วใบหน้าและลำตัว และดวงตาแดงฉานก่ำเลือดพวกมันไม่ต่างอะไรกับปีศาจเลยด้วยซ้ำ


    มันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างปริศนา ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรและต้องการอะไรกันแน่ มันทำร้ายชาวบ้านและพังบ้านเรือนอย่างสนุกสนาน มันทำให้เอเรนเดลตกอยู่ในฤดูหนาว ดั่งเช่นกับที่เธอเคยทำเมื่อคราวก่อน แต่คราวนี้รุนแรงกว่ามากนัก เอลซ่าในฐานะราชินีมิอาจทำอะไรได้เลยตั้งแต่เกิดมาจนโตอายุได้ยี่สิบสองปีบริบูรณ์ เธอไม่เคยเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อน และด้วยตำแหน่งราชินีที่พึ่งขึ้นครองราชย์หมาด ๆ เธอเองก็ไม่เคยทำสงครามมาก่อนอีกด้วย


    หญิงสาวอยู่ในภาวะมืดแปดด้าน ทำได้เพียงสั่งให้ชาวเมืองซ่อนตัวอยู่ใบบ้านเท่านั้น ท่ามกลางความหวาดวิตกที่ปกคลุมไปทั่วเมือง ระหว่างที่ทุกอย่างกำลังตกอยู่ในวิกฤต ราชินีสาวห้วนนึกไปถึงเรื่องเล่าที่เคยได้ยินเมื่อตอนยังเด็ก เอเรนเดลเคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับยักษ์น้ำแข็งชั่วร้ายผู้มีพลังวิเศษแห่งน้ำแข็ง โดยเฉพาะหีบแห่งเหมันต์อดีตกาลที่แช่แข็งได้ทุกสิ่งบนโลก พวกมันปรารถนาจะแช่แข็งโลกนี้ให้ตกอยู่ในยุคน้ำแข็งชั่วนิรันดร์ แต่พวกนั้นพ่ายแพ้แก่เหล่าเทพเจ้า และถูกขับไล่ไปอีกฝากมุมหนึ่งอันห่างไกลของอีกมิติโลก พร้อมด้วยกล่องวิเศษที่สูญหายไปไม่มีใครตามหาเจอได้อีก


    ราชินีสาวจึงตระหนักได้ในตอนนั้นเอง ว่าเมืองของเธอกำลังเผชิญกับสิ่งที่อันตรายที่สุดอันตรายยิ่งกว่ากองทัพใด ๆ ในโลก


    เอเรนเดลกำลังถูกคุกคามโดยสัตว์ร้ายในตำนาน …


    หญิงสาวกลับมาตั้งสติกับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง เธอถอดถุงมือทั้งสองข้างออกอย่างช้า ๆ ดึงดาบเล่มงามขึ้นมาถือไว้ในมือ ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


    "ทหารแห่งเอเรนเดลทุกคน บุก!!"


    "เฮ้!!!"


    สิ้นเสียงราชินีสาวเหล่าทหารทุกคนวิ่งไปข้างหน้าอย่างหึกเหิม เสียงเหล็กฟาดฟันดังกึกก้องไปทั่ว ธนูปลิวว่อนเหนือหัวพุ่งไปยังเหล่ายักษ์ข้างหน้าอย่างแม่นยำ แต่ดูเหมือนจะไม่ระคายเคืองผิวพวกมันแม้แต่น้อย พวกมันวิ่งเข้าใส่เหล่าทหารอย่างไม่กลัวเกรง เพียงแค่พื้นผิวของยักษ์สัมผัสโดนตัวมนุษย์ ร่างกายของทหารเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน น้ำแข็งลามเกาะกุมไปทั่วจนร่างกายแข็งค้าง นัยน์ตาเบิ่งโพลงน่ากลัว พวกมันจับทหารที่ถูกแช่แข็งฉีกเป็นชิ้น ๆ อย่างง่ายดายและไร้ความปรานี ผืนน้ำแข็งสีขาวถูกย้อมไปด้วยสีแดงสดของเลือดมนุษย์


     "อย่าให้พวกมันโดนตัวเด็ดขาด"


    เอลซ่าผู้เห็นเหตุการณ์ตะโกนเตือนเหล่าทหาร หญิงสาวสะบัดมือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว เกิดห่าน้ำแข็งขนาดใหญ่ซัดใส่ยักษ์น้ำแข็งจนล้มระเนระนาด ราชินีสาวจัดการรวบเชือกแล้วกระตุกบังคับให้ม้าวิ่งไปข้างหน้า มืออีกข้างจับดาบไว้แน่น บังเกิดเกล็ดน้ำแข็งแผ่กระจายทั่วดาบ เธอเหวี่ยงดาบฟาดไปที่ร่่างกายของยักษ์น้ำแข็งตรงหน้า เมื่อร่างมันสัมผัสกับคมดาบก็แตกละเอียดกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับแก้วที่หล่นกระทบพื้น


    หญิงสาวสลับใช้เวทย์น้ำแข็งกับดาบอย่างคล่องแคล่ว และเฝ้ามองเหตุการณ์รอบ ๆ ข้างอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนเจ้ายักษ์น้ำแข็งพวกนี้จะพุ่งเป้าโจมตีเธอเป็นพิเศษ


    ครืน เปรี้ยง!!!


    จู่ๆ ก็บังเกิดสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอย่างแรงไม่ห่างจากกองทัพมากนัก หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเช่นเดียวกับม้าคู่กายที่ส่งเสียงหวีดร้องอย่างตกใจพร้อมวิ่งเตลิดไปอีกด้านอย่างควบคุมไม่อยู่ เอลซ่าทำอะไรไม่ถูก เธอทำได้เพียงเกาะม้าไว้แน่นด้วยความตื่นตระหนก


    เจ้าม้าวิ่งไปด้วยความเร็วก่อนจะหักเลี้ยวอย่างแรงไปอีกด้าน เอลซ่าเกาะไม่อยู่ถูกแรงเหวี่ยงกระเด็นไปชนต้นสนใกล้ ๆ อย่างแรง หญิงสาวกระอักเลือดออกมาอย่างเจ็บปวด ลืมตาขึ้นพบยักษ์น้ำแข็งสองสามตัวกำลังก้าวย่างขุมเข้ามาใกล้อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า เธอพยายามควานหาดาบของตน แต่อนิจจาด้วยแรงเหวี่ยงของม้าทำให้ดาบประจำตัวของเธอกระเด็นกระดอนหายไปในสนามรบ ตอนนี้ทั้งตัวของเธอปราศจากอาวุธที่จะใช้ต่อกรกับข้าศึกเสียแล้ว


    แต่เธอก็ยังมีสองมือของเธออยู่นี่น่า


    บังเกิดพายุน้ำแข็งรุนแรงขึ้นกระทันหันบดบังทัศวิสัยการมองเห็นของเหล่ายักษ์น้ำแข็งไปพอสมควร เอลซ่ารวบรวมพลังแข็งซัดแท่งน้ำแข็งแหลมใส่เหล่ายักษ์พวกนั้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวใช้พลังน้ำแข็งโจมตียักษ์น้ำแข็งอย่างไม่กลัวเกรง โดยมีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องทุกการกระทำของราชินีสาวอย่างสนใจ


    เอลซ่ามีอาการเหนื่อยหอบจากการสู้รบและใช้พลังไม่หยุดจนแสดงสัญญาณแห่งความเพลี่ยงพล้ำ เธอถอยกรูดหนีจากยักษ์น้ำแข็งที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้นทุกทีจนเผลอสะดุดล้มไปบนผืนหิมะ ยักษ์น้ำแข็งตัวหนึ่งอาศัยจังหวะนั้นเองพุ่งเข้าคว้าหมับเข้าที่แขนเธออย่างแรง หญิงสาวสะดุ้งเฮือก นึกไปถึงทหารคนนั้นที่โดนยักษ์น้ำแข็งจับตัวและแข็งตายอย่างน่าอนาถ


    น่าแปลกที่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้นยามเมื่อยักษ์น้ำแข็งสัมผัสตัวเธอ ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวควรจะโดนแช่แข็งไปนานแล้ว ราชินีสาวเงยมองยักษ์น้ำแข็งตรงหน้าอย่างตกใจระคนแปลกใจ ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ยักษ์น้ำแข็งตัวนั้นล้มลง ตามด้วยยักษ์น้ำแข็งตัวอื่น ๆ ที่ล้อมรอบเธออยู่ต่างพากันล้มตายอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที


    ปรากฎร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมกึ่งเกราะสีเขียวสลับดำปักขอบดิ้นทอง ร่างผอมสูงชะลูดกำยำก้าวย่างมาหาหญิงสาวตรงหน้าอย่างช้า ๆด้วยรอยยิ้มประหลาดที่ดูไม่น่าไว้ใจ ผิวขาวซีดกลมกลืนไปกับหิมะขาว ตัดกับเรือนผมยาวประบ่าและคิ้วสีดำสนิทได้เป็นอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาเข้ากันได้ดีกับดวงตาสีเขียวที่แวววาวจ้องมองหญิงสาวอย่างพินิจพิจารณา เขาพยุงเธอขึ้นมาจากพื้นอย่างง่ายดายราวกับหญิงสาวไม่มีน้ำหนัก


    "ท่านคงเป็นราชินีเอลซ่าแห่งเอเรนเดลใช่หรือเปล่า?"


    "ใช่ แล้วท่านคือใครงั้นเหรอ?"


    "อ๋อ ลืมไปเสียสนิท ข้านี่ช่างเสียมารยาทเสียจริง" ชายหนุ่มร่างสูงโค้งให้หญิงสาวตรงหน้า "ข้านี้มีนามว่าโลกิ ท่านพอจะนึกคุ้นบ้างหรือไม่?"


     ใบหน้าขาวซีดของราชินีสาวยิ่งซีดเข้าไปใหญ่ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเขาคือใคร ชายผู้มีชื่ออยู่ในเรื่องเล่าและตำนานอันยาวนานของเอเรนเดล เชื้อสายแห่งเทพผู้ลงมาปราบและเนรเทศยักษ์น้ำแข็งไปจากดินแดนนี้..


    เทพโลกิ?!


    จงมองมาที่หน้าข้าชายหนุ่มปราดเข้าไปประชิดตัวใกล้ราชินีสาว เขาเชยคางเธอขึ้นมา จ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใส จงหลับ


    สิ้นคำพูดเทพหนุ่มร่างของหญิงสาวก็ล้มพับลงแทบจะในทันที โลกิหันซ้ายแลขวามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ในบริเวณนี้ เขาก็จัดการรวบร่างหญิงสาวขึ้นพาดบ่า ชายหนุ่มสะบัดมือทีหนึ่ง ปรากฏถุงผ้าขนาดใหญ่ในมือ โลกิใส่ร่างเอลซ่าไว้ในถุง จัดการรวบขึ้นพาดบ่า แล้วค่อยกระโจนอย่างรวดเร็วไปยังกลางสนามรบ


    ที่กลางสนามรบนั้นเองมีชายหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดเกราะลวดลายประหลาดตา ผมสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย ผ้าคลุมสีแดงสดตรงไหล่สะบัดพลิ้วปลิวไปตามลม ในมือของเขาควงค้อนขนาดใหญ่ไปมาก่อนจะฟาดใส่เหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างองอาจ รอบ ๆ ข้างมีหญิงสาวหนึ่งคนและบุรุษอีกหลายคนที่ช่วยกันต่อสู้กับยักษ์น้ำแข็งอย่างไม่ลดละ โดยมีทหารของเอเรนเดลหลายคนมองด้วยความแปลกใจปนตกตะลึง


    ชาวเมืองเอเรนเดลทั้งหลายอย่าได้กลัวไปเลย ข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้พ้นภัย"


    ชายหนุ่มผมทองชูค้อนขึ้น บังเกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างลงมายังค้อน ทหารทุกคนล้วนตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า พวกเขาเหล่านั้นตระหนักรู้แน่แท้ว่าบุคคลปริศนาเหล่านั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่คือเทพเจ้าในตำนานที่เล่าขานมาเนิ่นนานในดินแดนแห่งนี้นั่นเอง


    "ไม่อยากจะเชื่อ ข้าตาฝาดไปหรือเปล่า นั่นธอร์ตัวจริงงั้นเหรอ!!"


    "เจ้าจะแปลกใจอะไร หากยักษ์น้ำแข็งมีจริง ทำไมเทพจะไม่มีจริงกันเล่า เอ้าพวกเรา เทพเจ้าอยู่ข้างเราแล้ว สู้ให้ถึงที่สุด!!" ทหารคนหนึ่งพูดพร้อมชูดาบขึ้นปลุกระดมทหารคนอื่น ๆ  เกิดเสียงเฮดังลั่นกึกก้อง เหล่าทหารฮึดสู้ขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ กลายเป็นยักษ์น้ำแข็งเสียเองที่เริ่มเพลื้องพล้ำ


    สงครามจบลงด้วยชัยชนะของชาวเอเรนเดล เศษซากศพของยักษ์น้ำแข็งเกลือนกลาดเต็มพื้นน้ำแข็ง เช่นเดียวกับร่างของทหารเอเรนเดลอีกหลายคนที่ถูกยักษ์น้ำแข็งแช่แข็ง ยักษ์น้ำแข็งบางตัวที่เหลือต่างพาหลบหนีจากสนามรบ ธอร์บุกตามเข้าไปอย่างเกรี้ยวกราด แต่ก็โดนโลกิดึงแขนไว้เสียก่อน


    "พอเถอะพี่ข้า เช่นไรคราวนี้เราก็ชนะแล้ว หากยังสู้รบยืดเยื้อข้าเกรงว่าเราจะกลับขึ้นไปไม่ทัน แล้วท่านพ่ออาจจะกริ้วได้ถ้าทราบว่าพี่แอบลงมาที่นี่"


    "ข้ายังรู้สึกไม่เต็มอิ่มเลยโลกิ" ธอร์พูดด้วยน้ำเสียงงุ่นง่านเป็นกำลัง พลันสายตาเหลือบไปเห็นถุงที่โลกิแบก เทพหนุ่มขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนที่จะเอ่ยถาม


    "นั่นเจ้าถืออะไรมานะโลกิ"


    "เอ่อ..มันเป็นของ ๆ พวกยักษ์น้ำแข็งน่ะ ข้าคิดว่าจะลองเอาไปตรวจสอบดูสักหน่อย เผื่อคราวหน้าเราต้องรบกับพวกมันอีกจะได้รับมือถูก"


    "รอบคอบมากน้องชายข้า" ธอร์หัวเราะ ฝ่ามือหนาตบเข้าที่ไหล่โลกิอย่างแรง โลกิได้แต่ยิ้มแหย่ ๆ ไม่พูดอะไรต่อ ธอร์กวาดสายตามองเหล่าทหารแห่งเอเรนเดล ก่อนจะพูดขึ้นว่า


    "พวกเจ้าทุกคนกล้าหาญมาก ข้าชื่นชมพวกเจ้าและหวังว่าจะได้เจอพวกเจ้าอีกครั้งที่วัลฮัลลา ข้าคงต้องขอลาแล้ว"


    เทพหนุ่มร่างใหญ่โบกมือให้เหล่าทหาร ก่อนจะพากันเดินจากไปจากสนามรบพร้อมเหล่าสหายเทพร่วมศึกรบ เสียงเรียกชื่อเทพธอร์ดังกึกก้องพร้อมกับคำสรรเสริญถึงวีรกรรมอันองอาจของเทพเจ้าถูกกล่าวขวัญทั่วกองทัพเอเรนเดล


    โดยไม่มีใครสังเกตว่าราชินีของพวกเขาได้หายตัวไปแล้ว..


     เทพทุกองค์กลับมาถึงแอสการ์ดโดยสวัสดิภาพ พวกเขาเดินบนสะพานไบฟรอสเตรียมตรงเข้าไปในเมือง โลกิลอบสังเกตเห็นว่าธอร์มีสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลานับตั้งแต่ขึ้นมาบนนี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เทพหนุ่มเจ้าเล่ห์จึงตัดสินใจตะล่อมถามเทพเจ้าสายฟ้า


    "ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นทำหน้าเครียดตั้งแต่ขึ้นมาบนนี้แล้ว เหตุใดพี่จึงมีสีหน้าเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่เราก็รบชนะ?"


    "ข้ารู้สึกว่ามันแปลก ๆ โลกิ คิดดูสิ ตั้งแต่เจ้าพวกนั้นโดนเนรเทศออกไปก็ไม่เคยฝ่าฝืนบุกเข้ามาทำร้ายมนุษย์อีก เหตุใดกันที่จู่ ๆ เจ้าพวกนั้นจึงจู่โจมมนุษย์อีกครั้ง ข้าไม่เข้าใจการกระทำของยักษ์พวกนั้นเลย


    "ยักษ์น้ำแข็งมันจะคิดอะไรได้ นอกจากจะก่อความวุ่นวายให้พวกเราปั่นป่วนเล่น พี่ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าพวกนั้นมันไม่ดี"


    "ก็จริงอยู่ ข้าคงจะคิดมากไปเอง" ธอร์พยักหน้าก่อนจะหันไปนัดแนะพูดคุยดื่มฉลองชัยที่บาร์ในเมืองกับเทพองค์อื่น ๆ  โดยไม่ได้สังเกตโลกิที่ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่


    โลกิอาศัยจังหวะหลังจากพวกธอร์ไปเที่ยวที่บาร์แล้ว เขาใช้ความเร็วในแบบเทพเคลื่อนตัวออกไปห่างไกลจากเมือง ลึกเข้าไปในป่าใหญ่ เทพหนุ่มยกมือขึ้นวาดอักษรประหลาดบนอากาศ เกิดคลื่นวนประหลาดม้วนตัวทำให้ภาพบริเวณโดยรอบบิดเบี้ยว โลกิยิ้มกระหยิ่มเดินทะลุผ่านคลื่นวนนั้นไปทันที


    เทพหนุ่มโผล่มาสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่นี่ดูจะแปลกตาไปจากที่อื่น เนื่องจากเต็มไปด้วยสีขาวโพลนของหิมะที่ตกอยู่ตลอดเวลาพร้อมลมที่พัดกรรโชกรุนแรง  ไม่มีแสงตะวันสาดส่อง เต็มไปด้วยความมืดครึ้ม โลกิเงยหน้ามองขึ้นฟ้าก่อนพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง


    "โยทันไฮม์ ปลอดภัยกว่าอยู่บนแอสการ์ดเยอะ อย่างน้อยก็รอดพ้นสายตาเจ้าไฮล์มดาล นอกเสียจากโอดินจะเกิดนึกคึกมานั่งบนบังลังก์ฮลิดสเกียฟดูทุกอย่างบนเก้าโลกนะ"


    ชายหนุ่มรุดหลบเข้าไปในถ้ำ นำร่างเอลซ่าออกมาออกมาจากระสอบวางไว้บนพื้น เขาถอดเกราะหนาออกจากร่างนางอย่างทุลักทุเล กวาดสายตาพิจารณาราชินีสาวไปทั่วร่าง สายตาเขาสะดุดเข้ากับสร้อยคอแพตตินัมเส้นเล็ก ๆ ที่ส่องแสงแวววาวสวย เทพหนุ่มบรรจงจับสร้อยขึ้นมาดูใกล้ ๆ  ก่อนจะแย้มรอยยิ้มพึงพอใจออกมา


    "ไม่ผิดคนแน่"



    ………………………….



    "เจ้าว่าอะไรนะ เอลซ่าหายตัวไป!! "เจ้าหญิงอันนาผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวแห่งราชินีเอเรนเดลขึ้นเสียงด้วยความตกใจ ตรงหน้าเธอมีทหารที่กำลังก้มหน้าคุกเข่าด้วยความหวั่นเกรง


     "พะยะค่ะ เรายายามค้นหาแล้ว แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ"


    "ไม่ว่ายังไงต้องหาเอลซ่าให้เจอให้ได้ นี่คือคำสั่งจากข้า ผู้สำเร็จราชการแทนแห่งเอเรนเดล ไปตามหาตัวพี่ข้าเดี๋ยวนี้!!!


    "พะยะค่ะ" เหล่าทหารรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องทันที อันนาทรุดนั่งบนโซฟาตัวใหญ่อย่างอ่อนแรง ก่อนจะซบหน้ากับผนักพิงพร้อมหลั่งน้ำตาออกมา


    "เอลซ่า ตอนนี้พี่จะเป็นยังไงบ้าง ได้โปรดกลับมา พี่ต้องไม่เป็นอะไรนะเอลซ่า"



    …………………….......



    เอลซ่าลืมตาโพล่ง สะดุ้งเฮือกแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นตระหนก ที่นี่ไม่ใช่สนามรบอย่างที่เธอควรจะอยู่ แต่กลับเป็นถ้ำเล็ก ๆ กลางหิมะหนาวเหน็บ เอลซ่าสำรวจดูร่างกายตัวเอง เกราะที่เคยห่อหุ้มตัวเธอหายไปเหลือเพียงชุดผ้าธรรมดาเท่านั้น ราชินีสาวเริ่มหวั่นใจ ที่นี่ที่ไหนและเธอมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร หญิงสาวพยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอนึกได้เพียงแค่ว่ามียักษ์น้ำแข็งล้อมรอบตัวเธอและมีชายคนหนึ่งบุกเข้ามาช่วย เธอมองหน้าเขาก่อนที่ภาพทุกอย่างจะมืดลงไป


    ใช่แล้ว..ผู้ชายคนนั้นโลกิ!!


    ร่างสูงของชายหนุ่มที่ดูคุ้นตาเดินเข้ามาในถ้ำ หญิงสาวผงะเล็กน้อยแต่ก็ยังคงรักษามาดความเป็นราชินี อยู่เอลซ่ามองเทพหนุ่มตรงหน้าด้วยความระแวง


    ที่นี่ที่ไหน?”


    อย่าทำหน้าแบบนั้นสิราชินี ข้าไม่ได้คิดร้ายต่อเจ้าสักหน่อย” โลกิกระตุกยิ้ม ถือวิสาสะเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ หญิงสาว  “ข้ากำลังช่วยท่านนะ”


    ช่วยช่วยอะไร


    เอลซ่า เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมเจ้าถึงเกิดมาไม่เหมือนคนอื่น ทำไมเจ้าถึงใช้พลังพิเศษนั่นได้ โดยที่คนอื่นไม่มีแบบเจ้า ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าไม่เคยที่จะสงสัยเลยอย่างงั้นเหรอ?” เอลซ่าชะงัก คล้อยไปตามคำพูดของโลกิ ทำไมเธอจะไม่เคยสงสัยกันล่ะ หญิงสาวสงสัยมาตลอดทั้งชีวิตนั่นแหละ แต่เธอก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ เช่นเดียวกับพ่อแม่และเหล่าโทรลหินที่ไม่มีใครสักคนทราบถึงสาเหตุของพลังในตัวเธอ


    จนเธอเองก็ลืมเลือนความสงสัยของตัวเองไปแล้ว...


    แล้วสงสัยไหม ทำไมจู่ ๆ ยักษ์น้ำแข็งในตำนานที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนถึงได้มาบุกเมืองเจ้า แล้วตอนที่สู้รบทำไมเจ้าถึงไม่เป็นอะไรยามที่ยักษ์น้ำแข็งสัมผัสตัวเจ้า ในขณะที่คนอื่นกลับโดนแช่แข็งเมื่อโดนยักษ์แข็งจับตัว?” เอลซ่าถึงย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ใช่ นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่เธอสงสัยเหมือนกัน หญิงสาวหันไปมองทางโลกิอย่างแปลกใจ เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม


    หรือว่า..เขาจะรู้สาเหตุของมันกัน?


    ท่านจะบอกข้าว่า ท่านรู้สาเหตุของเรื่องนี้งั้นเหรอ?”


    แน่นอนองค์ราชินี ข้าจะบอกทุกอย่าง เกี่ยวกับชาติกำเนิดที่แท้จริงของท่าน” โลกิเอื้อมมือสัมผัสไปที่จี้บนคอหญิงสาวอย่างแผ่วเบา เอลซ่าขมวดคิ้วนึกสงสัยในคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า หมายความว่ายังไงกัน ชาติกำเนิดที่แท้จริงของเธอ?


    ท่านพูดถึงเรื่องอะไร ขะ..ข้าไม่เข้าใจ


    ข้ารู้เจ้าเข้าใจ เพียงแค่เจ้าตกใจมากไปหน่อยเท่านั้นโลกิพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ”สร้อยคอของท่านบ่งบอกทุกอย่างได้อย่างดีเชียวล่ะ


    สร้อยคอฉัน...?”


    เอลซ่าเอื้อมมือจับสร้อยคอของตน สร้อยคอที่ติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ ยิ่งฟังที่เทพหนุ่มพูดเธอก็ยิ่งรู้สึกสับสน


    หากท่านปรารถนาอยากจะรู้ทุกอย่าง ข้ามีหนทางช่วยท่านได้นะ” โลกิลุกขึ้นยืน พร้อมแย้มรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรให้หญิงสาว เอลซ่ามองเทพหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัย เขากำลังจะทำอะไรกัน


    เคยได้ยินเรื่องน้ำพุแห่งความรู้ไหมมันน่าจะมีอยู่ในตำนานเรื่องเล่าบ้างล่ะนะ เราจะไปที่นั่นกันองค์ราชินี ไปยังน้ำพุไมเมอร์



    .............................



    บรรยากาศเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ทั่วบริเวณมีแต่ผืนหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตา เอลซ่าค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง เธอจำเป็นต้องตามโลกิมาอย่างเสียไม่ได้ แต่อีกใจก็อยากรู้ถึงความลับของตัวเองเช่นกัน หญิงสาวกัดฟันแน่นข่มความหนาวในกายก่อนจะก้าวเดินไปอย่างมุ่งมั่น


    ณ ที่ปลายสุดขอบแดนนั้นเอง หญิงสาวเห็นต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้า ใกล้ ๆ  ต้นไม้ใหญ่นั้นมีบ่อน้ำสีฟ้าใสส่องแสงระยิบระยับ โดยมีเหล่ายักษ์น้ำแข็งมากมายล้อมรอบคุมกันบ่อน้ำเป็นอย่างดี น่าแปลกที่รอบ ๆ บริเวณต้นไม้และบ่อน้ำกลับอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้น ไม่มีหิมะปกคลุมกล้ำกลายเข้ามาในบริเวณนี้ คล้ายกลับว่าสถานที่นี้ถูกเว้นไว้พิเศษอย่างตั้งใจ


    เดี๋ยวข้าจะล่อเจ้าพวกนั่นเอง เจ้าไปที่บ่อน้ำนั่นหาทางดื่มน้ำจากบ่อให้ได้ โลกิหันมามองเอลซ่า สิ่งที่เจ้าอยากรู้อยู่ในบ่อน้ำนั้น” ชายหนุ่มย้ำ ก่อนจะรีบกระโจนออกไปด้านหน้าทางเข้าบ่อน้ำพุไมเมอร์ทันที ปล่อยเอลซ่าให้ยืนงงอยู่ตรงนั้น


    เฮ้พวกแก วันนี้เป็นไงบ้าง หนาวมากใช่ไหมโลกิส่งเสียงทักทายยักษ์น้ำแข็ง เมื่อยักษ์ทุกตัวเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าใส่โลกิทันที ชายหนุ่มรีบเผ่นหนีล่อพวกมันไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว


    เอลซ่ามองโลกิที่วิ่งไปอีกด้านอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจใช้โอกาสนี้หลบเข้าเข้าไปในบ่อได้โดยสะดวก หญิงสาวจ้องมองบ่อน้ำตรงหน้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ เธอนั่งลงริมบ่อเตรียมจะกวักน้ำขึ้นมาดื่มตามที่เทพหนุ่มบอก แต่เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นมาซะก่อน


    "ช้าก่อนแม่หญิง เจ้าจะดื่มน้ำในบ่อนี้ไม่ได้นะ"


    เอลซ่าชะงักเธอหันไปตามเสียงเรียก ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ หัวคน ใช่! หัวคนตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้ ๆ ต้นไม้ใหญ่มันเหลือบมองมาที่เธอด้วยสายตาจับผิด หญิงสาวหน้าซีดเผือด แทบจะลมจับไปเสียให้ได้


    "ผะ..ผะ..ผี?"


    "ผีหลอกที่ไหนกัน!! เอ่อ..จะว่าไปข้าก็ตายแล้วล่ะจะนับว่าผีก็คงพอได้" เจ้าหัวคนกรอกตาไปมา "ฉันชื่อไมเมอร์ ฉันเป็นเทพแห่งความรอบรู้...เคยเป็นนะจนกระทั่งโดนเขาตัดหัวมา ถ้าไม่ได้เวทย์มนต์ของโอดินฉันคงไม่ได้พูดเจื้อยจ๊าวแบบนี้แน่ ฉันเป็นผู้คุมบ่อน้ำพุแห่งนี้ ฉันไม่อนุญาตให้เธอดื่มน้ำในบ่อนะแม่หญิง"


    "ดื่มไม่ได้เลยเหรอคะ?" เอลซ่ามองหัวไมเมอร์ด้วยสายตาเศร้านิดๆ  เทพไมเมอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เขามักจะแพ้ผู้หญิงทุกที โดยเฉพาะผู้หญิงสวย ๆ  


    "ดื่มนะดื่มได้ แต่มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ขนาดโอดินมาขอดื่มน้ำพุยังต้องควักลูกตาหนึ่งข้างเป็นของแลกเปลี่ยนเลยนะ"


    "ข้าไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แล้วข้าต้องควักลูกตาหรือเปล่า?" หญิงสาวหน้าซีดลงไปถนัดตา เทพหนุ่มถอนหายใจอีก เขากลอกตาอีกครั้งอย่างใช้ความคิด


    "มันก็ไม่เลือดสาดขนาดนั้นหรอก เอางี้..ใช้สร้อยที่อยู่บนคอเจ้าสิ"


    "สร้อยงั้นเหรอ.."


    เอลซ่าจับไปที่จี้บนคอของตน สร้อยที่อยู่กับเธอมายาวนาน หญิงสาวไม่เคยแม้แต่จะถอดมันออกมาด้วยซ้ำ แต่ความอยากรู้อยู่เหนือความต้องการสิ่งใด เอลซ่าดึงสร้อยออกมาจากคอตามคำบอกของเทพไมเมอร์ โดยมีเทพไมเมอร์จับจ้องอยู่ตลอด


     "ปล่อยมันลงไปในบ่อน้ำ แม่หญิงนี่คือการแลกเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่เจ้าต้องการ" เอลซ่าประคองสร้อยลงหย่อนลงไปในบ่อน้ำ บังเกิดแสงสีฟ้าสว่างวาบชั่วขณะก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม หญิงสาวหันไปทางเทพไมเมอร์อีกครั้ง เทพหนุ่มจ้องมองเธออย่างพิจารณา สายตาแห่งเทพผู้รอบรู้มองทุกอย่างทะลุปลุโปร่ง ไมเมอร์นิ่งงันไปหลายนาทีก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า


    "แม่หญิง ทุกสิ่งล้วนมีดำกับขาวเสมอ ในข้อดีก็อาจมีข้อเสียอย่างมหันต์ บ่อน้ำนี้จะให้ความรู้ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลแก่เจ้า แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่เจ้าต้องการที่จะรู้มันอาจจะหนักหนาเกินกว่าจะรับได้ เมื่อเจ้าได้ดื่มแล้ว เปิดใจ และจงยอมรับในสิ่งที่ตาเห็น เอาล่ะเชิญดื่มได้แม่หญิง"  


    สิ้นสุดการรอคอย เอลซ่ารีบควักในบ่อขึ้นมาดื่มทันที ทันทีที่น้ำไหลผ่านลงคอ ทุกสิ่งทุกอย่างก็วิ่งเข้ามาในหัว ความรู้ของสรรพวิชาต่าง ๆ  ทั้งกวีนิพนธ์ไสยเวทย์ สงคราม การรักษา ความเปลี่ยนแปลงของจักรวาล และทุกสิ่งทุกอย่างสลับเป็นภาพเร็วไปหมด


    จนสุดท้ายภาพก็มาหยุดอยู่ที่เมืองเอเรนเดล ภาพที่เธอเห็นคือเอเรนเดลที่กำลังมีสงคราม เป็นสงครามระหว่างยักษ์น้ำแข็งกับเมืองเอเรนเดล ยักษ์น้ำแข็งบุกเข้าทำร้ายผู้คนอย่างป่าเถื่อน โดยมียักษ์ที่เป็นหัวหน้าถือหีบแห่งเหมันต์อดีตกาล อาวุธวิเศษของยักษ์น้ำแข็ง มันใช้พลังอำนาจจากหีบแช่แข็งไปทั่วเมือง ส่งผลให้เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในฤดูที่หนาวเหน็บ ราชินีสาวเห็นบิดาของตนกำลังควงดาบฟาดฟันใส่เหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างกล้าหาญ เอลซ่ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแปลกใจ เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเอเรนเดลเคยถูกยักษ์น้ำแข็งบุกมาแล้วเมื่อในอดีต ทำไมท่านพ่อถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง หญิงสาวครุ่นคิดอย่างแปลกใจสงสัย


    พลันท้องฟ้าสว่างวาบแสงสีรุ้งพุ่งลงมาตรงกลางสนามรบ ปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายผู้หนึ่ง เขาสวมเกราะหนาลวดลายแปลกตา ในมือถือหอกใหญ่น่าเกรงขาม รอบ ๆ ตัวชายคนนั้นมีเหล่าทหารมากมายที่อยู่ในชุดเกราะประหลาดเช่นกัน เหล่าคนพวกนั้นช่วยพ่อของเธอรบกับเหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างดุเดือด


    โอ้ เทพเจ้าทรงเมตตา องค์โอดินลงมาช่วยพวกเราแล้ว ราชาแห่งเอเรนเดลพึมพำ เหล่าทหารต่างมีขวัญและกำลังใจขึ้นมาก จากที่เป็นฝ่ายเพลื้องพล้ำเริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพียงไม่นานสงครามก็จบลงพร้อมความปราชัยของเหล่ายักษ์น้ำแข็ง


    ด้วยการกระทำอันป่าเถื่อนและอุกอาจของเจ้า ข้าโอดิน ขอเนรเทศเหล่ายักษ์น้ำแข็งทั้งหมดสู่ดินแดนโยทันไฮม์หนาวเหน็บ แห้งแล้ง อ้างว้าง ไร้ซึ่งแสงตะวันตลอดกาล” สิ้นเสียงจอมมหาเทพ ฟ้าดินสั่นสะเทือนไปทั่ว 9 โลก เกิดหลุมอากาศขนาดกว้างใหญ่ดูดเหล่ายักษ์ไปจนหมดสิ้น สิ้นสุดสงครามระหว่างยักษ์กับมนุษย์นับแต่นั้น ด้วยชัยชนะของฝั่งมนุษย์ ทุกอย่างกลับสู่ความสงบสุขอย่างรวดเร็ว


    ตอนนั้นเองที่ภาพตรงหน้าเอลซ่าเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพของถ้ำน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านในความมืด เสียงเด็กร้องไห้จ้าดังขึ้นไปทั่ว ด้านในถ้ำมีร่างยักษ์น้ำแข็งตัวเมียที่อุ้มทารกในห่อผ้าด้วยความเอ็นดู ตอนนั้นเองจู่ ๆ เหล่ายักษ์น้ำแข็งคนอื่น ๆ พากันบุกเข้ามาในถ้ำเต็มไปหมด หนึ่งในคนเหล่านั้นกระชากลูกออกไปจากอ้อมอกนางยักษ์อย่างไม่ปราณี ทันทีที่ทุกคนเห็นเด็กทารกคนนั้น พวกเขาก็มีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด


    แทนที่ทารกจะมีผิวสีฟ้าเข้มและดวงตาสีแดงฉานตามเอกลักษณ์ของเผ่ายักษ์น้ำแข็ง แต่ทารกน้อยคนนี้กับมีรูปร่างและใบหน้าที่น่ารักเหมือนทารกมนุษย์ไม่มีผิด ทารกน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองยักษ์ตรงหน้าด้วยความไร้เดียงสา ยักษ์ตนนั้นเดินเข้าไปหานางยักษ์ตัวเมียด้วยท่าทีดุดัน เขามองดูทารกในมือสลับกับนางยักษ์ตัวเมียด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์


    เด็กนี่เป็นลูกใคร


    เขา..เขา..


    ถ้าไม่อยากให้ลูกเจ้าตาย บอกมาว่าพ่อมันเป็นใคร!!”


    ข้ายอมแล้ว ยอมแล้วยักษ์สาวกรีดร้องพยายามโผเข้าหาทารก แต่ก็โดนยักษ์ตัวอื่น ๆ จับเอาไว้ “เด็กคนนี้..เขาเป็นลูกโอดิน


    เจ้าคนทรยศเจ้าก็รู้ว่าโอดินกระทำอะไรไว้กับพวกเราบ้างแต่เจ้าก็ฝ่าฝืนไปรักกับมัน” ยักษ์หนุ่มขึ้นเสียงด้วยความโกรธแค้น เขาหันไปมองที่ทารกน้อย เตรียมจะคร่าชีวิตเด็กเสียให้สิ้น จู่ ๆ ยักษ์หนุ่มก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมา นัยน์ตาสีแดงของเขาวาวโรจน์ พร้อมค่อย ๆ แย้มรอยยิ้มชั่วร้ายออก


    “’งั้นข้าขอเด็กคนนี้ก็แล้วกันนะรินด้า


    ไม่นะ ราฟฟี่ อย่าพาเขาไป ไม่!!!” นางยักษ์พยายามโผเข้าหายักษ์น้ำแข็งตนนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ยักษ์หนุ่มไม่ใส่ใจ เขาอุ้มทารกน้อยเดินออกจากถ้ำโดยมีเสียงกรีดร้องโหยหวนของนางยักษ์ดังไล่หลังมาอย่างน่าสะเทือนใจ


    ยักษ์ตนนั้นอุ้มทารกเข้ามาในวังน้ำแข็งที่ตั้งโดดเด่นท่ามกลางผืนหิมะเวิ้งว้าง แล้วตรงไปยังห้องโถง ณ ตรงกลางห้องมีโต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะมีหีบสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มันมีแสงสีฟ้าออกเรือง ๆ อยู่ตลอดเวลา


    หีบแห่งเหมันต์อดีตกาล..


    ยักษ์หนุ่มผู้เป็นราชารู้ดีว่าหีบนี้มีพลังมากแค่ไหน และเขาเชื่อว่าโอดินเองก็ตระหนักรู้เช่นกัน อีกไม่นานโอดินต้องลงมายึดหีบไปแน่นอน ราฟฟี่เหลือบมามองทารกในอ้อมอกของตน เด็กคนนี้ช่างแตกต่าง แตกต่างจากทุกคนในดินแดนนี้


    และความแตกต่างนี้แหละที่เขาจะใช้มันให้เป็นประโยชน์


    ราชายักษ์ค่อยๆ ดึงพลังออกมาจากหีบช้า ๆ  แสงสีฟ้าอ่อนลอยอ้อยลิ่งออกมาล้อมรอบตัวเด็กทารก ชั่วพริบตาพลังทั้งหมดก็ถูกดูดเข้าไปในร่างกายของทารก หีบแห่งเหมันต์อดีตกาลกลายสภาพเป็นหีบธรรมดา ปราศจากแสงสีฟ้าเรืองรองภายในหีบอย่างที่เคยเป็น


    ยักษ์หนุ่มกระตุกยิ้ม เขาสะบัดมือร่ายเวทย์ขึ้น บังเกิดสร้อยเส้นสวยในมือที่จี้มีสัญลักษณ์แทนตระกูลราชวงศ์ยักษ์น้ำแข็งที่ใช้มาอย่างช้านาน


    สร้อยเส้นนี้จะบ่งบอกว่าเจ้าคือใคร เด็กน้อย” ราฟฟี่ใส่จี้อันนั้นให้ทารก เขาหันมาร่ายเวทย์สร้างพลังลวงใส่หีบ ก่อนจะเดินออกจากห้องโถงไปอย่างเงียบเชียบ




    .............................



    ณ ดินแดนเอเรนเดล เหล่าดอกไม้พากันผลิบานรับแสงอาทิตย์ในยามฤดูใบไม้ผลิ ชายคนหนึ่งในชุดคลุมซ่อมซ่อกำลังหลบมุมอยู่ริมต้นไม้ ที่มือของเขากำลังอุ้มเด็กทารกตัวน้อย ๆ อยู่ ดวงตาแดงก่ำตามแบบฉบับยักษ์น้ำแข็งจับจ้องไปยังกษัตรีย์หนุ่มที่ออกมาล่าสัตว์กับทหาร เมื่อขบวนของกษัตริย์เข้ามาใกล้ ชายหนุ่มคนนั้นก็วางทารกไว้ใต้ตอนไม้ ก่อนจะหลบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว


    อุแว้ อุแว้” 


    กษัตรฺย์แห่งเอเรนเดลชะงักเมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้จ้า เขาลงจากม้ารีบตรงรี่ไปตามเสียง พบเด็กทารกน้อยนอนร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ ผู้เป็นราชาอุ้มเด็กขึ้นมาด้วยความแปลกใจ มองซ้ายมองขวาหาพ่อแม่ของเด็กก็ไม่เจอใคร


    ใครกันใจร้ายทิ้งเด็กทารกกลางป่าได้ลงคอ” กษัตริย์หนุ่มพึมพำ เขาจ้องไปในดวงตาสีฟ้าใสของทารกน้อย รู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้ขึ้นมาอย่างประหลาด เขาประคองเด็กคนนี้ไว้แนบอกก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนขบวนกลับวัง


    ท่านบอกว่าเจอเด็กคนนี้ที่ไหนนะคะราชินีแห่งเอเรนเดลหันมาถามสามี ระหว่างที่เธอกำลังปลอบโยนเด็กน้อยให้หยุดร้อง ตอนที่ผู้เป็นสามีเดินเข้ามาในวังพร้อมด้วยเด็กทารกแทนที่จะเป็นซากกวางหรือหมีอย่างที่ควรจะเป็นทำให้เธอตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว


    ข้าเจอเด็กคนนี้ในป่า ไม่รู้ใครมาทิ้งไว้


    โธ่ เด็กน้อยน่าสงสาร” ราชินีมีสีหน้าเศร้าไปถนัดตา ตอนนั้นเองที่สายตาของพระนางเหลือบไปเห็นสร้อยเส้นสวยบนคอเด็กทารก ราชินีหยิบสร้อยมาดูอย่างแปลกใจ เด็กคนนี้มีสร้อยติดตัวมาด้วย


    คงจะเป็นของพ่อแม่เขา แล้วเราจะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดีกษัตริย์หนุ่มถามราชินีเป็นเชิงขอความเห็น ราชินีสาวมองหน้าเด็กทารกน้อยในอ้อมอก เด็กน้อยส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ  ประกายตาสีฟ้าสวยจ้องมองเธออย่างใคร่ควรสงสัย มือเล็ก ๆ เอื้อมปัดป่ายไปมาตรงหน้าราชินี หญิงสาวยิ้ม เธอหันไปตอบสามีของเธอว่า


    ฉันอยากเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เป็นลูกของเราจะได้ไหมคะ


    แน่นอน ข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” พระราชามองดูราชินีที่กำลังเล่นกับทารกน้อยด้วยรอยยิ้ม ราชินีกุมมือเด็กน้อยไว้ ทอดสายตามองทารกด้วยความเอ็นดู


    นับแต่นี้ต่อไป หนูมีชื่อเอลซ่านะลูก


    ภาพทุกภาพชัดเจนกระหน่ำอยู่ในหัวแค่ช่วงเสี้ยววินาที เอลซ่าทรุดลงข้างบ่อน้ำพุ ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากหญิงสาว มีเพียงสายตาของเทพไมเมอร์ที่มองมายังหญิงสาวด้วยความสงสาร


    บางครั้งการหยั่งรู้ก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป แม่หญิง


    ไม่จริง ข้าไม่เชื่อ ไม่จริง!!”



    ...................................



    ท่ามกลางบรรยากาศที่สดใสในเมืองเอเรนเดล จู่ ๆ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมาถนัดตา น้ำแข็งลามเกาะกุมทั่วทุกสิ่งในแผ่นดิน พายุหิมะก่อตัวพัดใส่เมืองรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชาวบ้านต่างพากันหลบหนีเข้าบ้านจ้าละหวั่น แม้แต่ในวังเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน


    นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน


    อันนามองหิมะที่ตกหนักนอกหน้าต่างด้วยความตื่นตระหนก เหตุการณ์นี้เธอเคยเห็นมาแล้วเมื่อคราวที่เอลซ่าหนีออกจากเมืองไปในช่วงที่ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ  แต่ครั้งนั้นไม่รุนแรงถึงขนาดนี้ ครั้งนี้มันดูรุนแรงมาก รุนแรงราวกับจะแช่แข็งทั้งเมืองไว้เลยทีเดียว


    จู่ ๆ หญิงสาวก็นึกใจหายขึ้นมาอย่างประหลาด พานนึกไปพี่สาวของตนด้วยความกังวลอย่างยิ่ง


    เอลซ่า พี่จะเป็นอย่างไรบ้าง



    ....................................



    เอลซ่าลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอกลับมาอยู่ ณ ตรงถ้ำที่เดิม หญิงสาวมองเห็นร่างโลกิที่กำลังนั่งผิงกองไฟอย่างสบายอารมณ์ เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ จนต้องใช้มือนวดศีรษะเบา ๆ


    "ปวดหัวสินะ ไม่แปลกหรอก อะไรที่ไหลเข้ามาในหัวเร็ว ๆ เยอะ ๆ มักทำให้รู้สึกมึนแบบนี้แหละ ส่วนใหญ่ไม่อึดจริงก็สลบไปกันทั้งนั้น นั่งอีกสักพักก็หาย รู้ไหมการวิ่งกลับมาแบกเจ้าและวิ่งหนียักษ์น้ำแข็งไปด้วยนี่ทำให้ข้าโคตรเหนื่อยเลย” เทพหนุ่มพูด เอลซ่านึกย้อนไปถึงสิ่งที่ตัวเองได้เห็น หัวใจเธอสั่นระรัว ทุกความรู้สึกตีกันในหัว ความหวาดวิตกขึ้นครอบคลุมในจิตใจ 


    เธอไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ลูกของพ่อและแม่อย่างที่เข้าใจมาตลอด


    "สงบสติอารมณ์หน่อยเอลซ่า เจ้าก็รู้ว่าพลังในตัวเจ้ามันเยอะขนาดไหน" เอลซ่าสะดุ้ง หลุดจากภวังค์ หันไปเห็นเทพหนุ่มที่ขยับมานั่งข้าง ๆตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มือเขาจับไปที่บ่าเธอเบา ๆ คล้ายจะเรียกสติ "ข้างนอกพายุหิมะพัดใหญ่แล้ว"


    เอลซ่ามองไปข้างนอกตามที่เทพหนุ่มบอก พายุหิมะพัดกรรโชกรุนแรงน่ากลัวตามอารมณ์ในจิตใจเธอ


    "ฉัน..ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี"


    "ยอมรับความจริงให้ได้ เจ้าไม่ใช่ลูกของมนุษย์พวกนั้น เจ้าเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเอลซ่า" โลกิหันมามองเอลซ่า ดวงตาสีเขียววาวโรจน์ท่ามกลางแสงไฟ "ไม่มีใครที่ปรารถนาดีต่อเจ้าอย่างแท้จริงหรอก"


    "ไม่จริง พ่อแม่ข้ารักข้า"


    "เขาไม่ใช่พ่อแม่เจ้าเอลซ่า เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ" เทพหนุ่มแค่นหัวเราะ "พวกเขาหวาดกลัวเจ้า เจ้าก็เห็น ทั้งพ่อแม่ น้องสาว ชาวเมืองเจ้าเคยประสบเหตุการณ์นั่นแล้วนี่? 'ควบคุมมัน อย่ารู้สึกอย่าให้ใครรู้'  สิ่งที่่พ่อเจ้าสอนมาตลอดเพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะเขาห่วงเขา แต่เพราะเขากลัวเขา เพราะเจ้าไม่เหมือนคนอื่น เจ้าคือยักษ์น้ำแข็ง"


    เอลซ่าน้ำตาไหลพรากอย่างปวดร้าว ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด โลกิพูดถูกทุกอย่าง สิ่งที่เธอไม่อาจจะยอมรับมัน ดวงตาสีฟ้าของหญิงสาวเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอยู่ในสายตาเทพโลกิ


    "เจ้าจะไปสนใจอะไรกับมนุษย์พวกนั้น ทำไมจึงไม่พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ในเมื่อเจ้ามีสิ่งวิเศษอยู่กับตัว พลังจากหีบเหมันต์อดีตกาล ร่วมมือกับข้า ใช้มันให้เป็นประโยชน์ ให้มนุษย์พวกนั้นยำเกรงเจ้า ให้เจ้ามีชัยเหนือผู้ใดทั้งปวง การขยายอำนาจของเอเรนเดลไม่ใช่เรื่องยาก เลยความยิ่งใหญ่รอเจ้าไม่ไกลแล้วองค์ราชินี"


    สายตาเทพหนุ่มจับจ้องทุกกิริยาหญิงสาวตรงหน้า เอลซ่าเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาอย่างชัดเจน มืออันบอบบางสั่นเทาด้านมืดในจิตใจร่ำเรียกชื่อเธออยู่ไม่ห่าง ฤทธิ์จากน้ำพุไมเมอร์บันดาลให้เธอเห็นถึงอนาคต เลือด สงคราม การฆ่าฟันและการนองเลือด ซากศพทั้งหลายที่กองเป็นพะเนิน เหนือซากศพมีร่างของเธอยืนอยู่อย่างเดี่ยวดาย ท่ามกลางโลกที่ตกอยู่ในความหนาวเหน็บตลอดกาล


    ตอนนั้นเองที่ภาพทุกอย่างตีกลับย้อนกลับไป หญิงสาวเห็นตนเองตอนยังเด็กที่เธอยังเล่นกับอันนา ตอนที่เธอเผลอไปทำร้ายน้องสาวด้วยพลังน้ำแข็งอย่างไม่ตั้งใจ ตอนที่เธอปลีกตัวออกห่างจากน้องสาวด้วยความหวาดกลัวพลังของตน โดยมีน้องสาวที่เพียรพยายามชักชวนเธออกมาจากห้องให้เธอเล่นด้วย เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยดังขึ้นอยู่เสมอทุก ๆ วันพร้อมคำพูดประจำในแบบเดิม ๆ


    เอลซ่า ไปปั้นมนุษย์หิมะด้วยกันไหม


    ออกไปซะอันนา


    ภาพทุกอย่างเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพเมื่อตอนที่เธอหนีจากเอเรนเดลมาอยู่ปราสาทน้ำแข็งห่างไกล เห็นภาพอันนาที่บุกฝ่าหิมะมาอย่างยากลำบากเพื่อมาหาเธอ


    "เอลซ่าพี่ไม่ได้ปกป้องฉัน ฉันไม่กลัวพี่ ให้ฉันเข้าไปเถอะนะ อย่าปิดประตูใส่ฉันเหมือนเมื่อก่อนเลย พี่ไม่จำเป็นต้องหนีจากคนอื่น ๆ  ฉันเข้าใจที่พี่เป็น เราสามารถจับมือแก้ปัญหาได้นะ เอลซ่า พี่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในความหวาดกลัว เพราะฉันอยู่ตรงนี้แล้ว"


    ภาพตัดไปตอนที่หญิงสาวระเบิดพลังใส่อันนา ผมของอันนาค่อย ๆ กลายเป็นสีขาว ผิวเริ่มซีดและเย็นเฉียบ เธอถูกเหล่าทหารของเจ้าชายฮานจับตัวเธอไป แต่ในท้ายที่สุดเธอก็แหกคุกหนีออกมาท่ามกลางหิมะหนาวเย็น โดยมีฮานวิ่งไล่ตามมา พร้อมแจ้งข่าวร้ายาว่าน้องสาวของเธอตายแล้ว เธอเห็นตัวเองตอนที่ทรุดลงร้องไห้โดยมีฮานยกดาบขึ้นเตรียมจะคร่าชีวิตเธอ


    อย่านะ เสียงเล็กใสดังขึ้นพร้อมร่างของอันนาที่ถลาเข้าไปขวางระหว่างฮานกับเธออย่างไม่กลัวตาย ร่างของเจ้าหญิงแห่งเอเรนเดลกลายเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาทุกคน เอลซ่าปล่อยโฮ เธอโผเข้ากอดร่างของน้องสาวด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง


    "อันนาพี่ขอโทษ"


    หยาดน้ำตาอุ่นหยดไปตามแขนของอันนาจู่ ๆ น้ำแข็งก็เกิดรอยร้าวประหลาดทั่วก้อนหิมะ มันแตกออกอย่างรวดเร็ว ปรากฏร่างแอนนนาที่มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองกอดกันแน่นด้วยความดีใจ น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลคลอออกมาอย่างซาบซึ้ง


    คราวนั้นเอง ดวงตาของเอลซ่าก็กลับมามีสีฟ้าสดใสดังเดิม พายุหิมะที่พัดรุนแรงก็ค่อย ๆ เบาลงไปด้วย เมืองเอเรนเดลที่ตกอยู่ในความหนาวเหน็บขั้นรุนแรงก็พลอยได้รับผลไปด้วย จู่ ๆ น้ำแข็งก็ละลาย ท้องฟ้าเปิดออก ดวงตะวันส่องลงมาอีกครั้ง


    ข้าคงทำอย่างนั้นไม่ได้ ท่านโลกิ


    เจ้าหมายความว่ายังไง


    ใช่ ท่านพูดถูก สิ่งที่ทุกคนกระทำต่อข้านั่นเป็นไปด้วยความหวาดกลัว แต่ข้ารู้ ยังมีคนที่เข้าใจในตัวข้าและรักข้าเสมอ ไม่ว่าข้าจะเป็นอะไรก็ตาม ข้าไม่หวาดกลัวแม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ข้ารักในครอบครัวที่มีอยู่ของข้า และเท่านี้ข้าก็พึงพอใจและไม่หวังสิ่งใดอีกแล้ว


    เจ้าคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นจะยอมรับจริง ๆเหรอว่าเจ้าเป็นใคร


    มันอาจยากที่จะเข้าใจ แต่ข้าเชื่อมั่นในพวกเขา


    ใช่ เจ้าพูดถูก ข้าไม่เข้าใจ และไม่มีวันจะเข้าใจ!!” ชายหนุ่มตวาดลั่น พลันสีผิวของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้า ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดูน่ากลัว


    ข้าไม่ใช่เทพ ข้าเป็นยักษ์น้ำแข็ง ข้าถูกเก็บมาเลี้ยงโดยเทพโอดินบิดาของเจ้ากับธอร์ เป็นได้แค่เงาของพี่ชายเท่านั้น ไม่มีใครใส่ใจข้า ธอร์ไปไหนก็มีแต่คนรัก แล้วข้าล่ะ ข้าเป็นตัวอะไรในสายตาของพวกเขา!” ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมาจากตาของเทพผู้หยิ่งทะนง เอลซ่าแม้จะมีท่าทีตกใจอยู่บ้าง แต่เธอก็ควบคุมอารมณ์ได้ดี หญิงสาวมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาแห่งความเข้าใจ


    ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เขามีเป็นอย่างไร เพราะเธอเองก็เคยเป็นเช่นนี้มาแล้วเช่นกัน เพียงแต่เพราะการมีน้องสาวทำให้เธอได้กลับมาเป็นเธออีกครั้ง แต่ดูเขาสิ เขาช่างโดดเดี่ยว และอ้างว้าง...


    เอลซ่าเอื้อมมือไปแตะแก้มของชายตรงหน้าเบา ๆ อย่างต้องการปลอบประโลม พลันความรู้สึกอบอุ่นก็แล่นไปทั่วร่างของยักษ์หนุ่ม ผิวสีฟ้าก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีขาวซีดตามเดิม ดวงตากลับมาเป็นสีเขียวเช่นปกติ โลกิเงยหน้ามองหญิงตรงหน้าอย่างแปลกใจ แววตาของเอลซ่าที่มองเขาในตอนนี้ไม่เหมือนแววตาที่เหล่าเทพทั้งหลายมองเขา จิตใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา มันไม่ได้สั่นไหวด้วยความกลัว แต่สั่นไหวด้วยความอบอุ่นอย่างประหลาด


    ความอบอุ่นในใจที่เขาไม่เคยสัมผัสจากใครมาเนิ่นนาน


    โลกิโผเข้ากอดหญิงสาวแน่น เอลซ่าไม่ทันได้ตั้งตัวเกิดอาการตกใจนิด ๆ แต่ในที่สุดหญิงสาวเอามือตบหลังเทพหนุ่มเบา ๆ  โลกิไม่ใช่คนเลว เขาเป็นเพียงแค่เด็กขาดความอบอุ่นเท่านั้นเอง


    คล้ายกับว่าเธอมองลึกเข้าไปในใจของชายตรงหน้า ละลายน้ำแข็งในใจเขาช้า ๆ


    บรรยากาศเงียบเชียบ ไม่มีคำพูดใดหลุดมาจากปากคนทั้งคู่ มีเสียงแสงไฟลุกโชนไสวให้ความอบอุ่นในถ้ำเท่านั้น



    ......................................



    ท่านกำลังจะไปที่ไหนเหรอ” 


    เอลซ่าถามขึ้นเมื่อโลกิพาเธอออกมาจากถ้ำในตอนเช้า หญิงสาวมองสถานที่รอบ ๆ ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย แม้ที่นี่จะเป็นเวลาเช้าแต่ทุกอย่างก็ยังดูมืดครึ้มไปหมดอยู่ดี


    โลกิไม่พูดอะไร เขาเดินมาจนถึงลานหิมะกว้าง ณ ที่ตรงนั้นมีเหล่ายักษ์น้ำแข็งหกคนยืนอยู่ เอลซ่ามองยักษ์น้ำแข็งเหล่านั้นอย่างประหลาดใจปนไม่ไว้วางใจ เธอหันไปหาโลกิอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร จนเมื่อเดินมาจนถึงตรงหน้ายักษ์น้ำแข็งพวกนั้น  เทพหนุ่มจึงเริ่มพูดขึ้น 


    พวกเจ้ามากันแค่นี้ใช่ไหม


    แน่นอน ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้


    ดี งั้นเอานางไปได้เลย” 


    โลกิพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขากระชากเอลซ่าแล้วผลักเธอไปหาเหล่ายักษ์น้ำแข็งอย่างไม่ใยดี หญิงสาวตั้งตัวไม่ติด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เธอหันมองหาชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ


    ทำไมถึงทำแบบนี้” น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงซึ่งความผิดหวังอยู่ในทีดังออกมาจากเรียวปากงดงาม  โลกิยิ้มกระย่อง มองหญิงสาวด้วยสายตาเย็นชา


    ก็อย่างที่เจ้ารู้ ข้าไม่ใช่เทพ แล้วเรื่องอะไรข้าจะต้องเข้าข้างเทพ ในเมื่อยังไงข้าก็ไม่มีวันได้รับการยอมรับดั่งเช่นธอร์ เทพหนุ่มพูด เจ้ารู้ดีว่าในตัวเจ้ามีอะไรเอลซ่า พลังแห่งเหมันต์กาลพลังที่มากเกินจะกล่าว พลังของเจ้านี่แหละที่จะแช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างได้ คิดเสียว่าทำเพื่อเผ่าพันธุ์ที่แท้จริงของตัวเองแล้วกัน ยังไงมนุษย์ก็ไร้ค่าอยู่ดี


    เอลซ่านิ่งงัน เธอจ้องมองโลกิด้วยสายตาผิดหวังอย่างยิ่ง ไม่มีคำต่อว่าด่าทอออกมาจากปากหญิงสาว มีเพียงน้ำตาที่ไหลคลอออกมาเท่านั้น เหล่ายักษ์พากันกระชากตัวเธอเดินจากไป ราชายักษ์หันมามองชายหนุ่มสลับกับหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาพูดกับเขาว่า


    ทำดีมาก ลูกชายข้า” 


    ราฟฟี่เดินหันหลังจากยักษ์คนอื่นๆ ไป แต่จู่ ๆ เขาก็ชะงัก เลือดไหลพรากออกมาจากกลางหน้าอก เป็นโลกินนั่นเองที่ใช้มีดสั้นแทงเขา ร่างราชายักษ์ล้มลงกับพื้นทันที โลกิหยิบมีดอีกหลายเล่มที่พกมาปาใส่เหล่ายักษ์ตรงหน้า ยักษ์ทั้งหลายละสายตาจากเอลซ่าพุ่งเข้ามาจู่โจมโลกิอย่างรวดเร็ว โดยที่หญิงสาวยืนมองเหตุการ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ


    เอลซ่า ช่วยข้า!!!” 


    โลกิตะโกนขึ้น เอลซ่าสะดุ้ง มองเห็นชายหนุ่มกำลังเพลื้องพล้ำ เธอจัดการซัดน้ำแข็งเข้าใส่ร่างยักษ์เหล่านั้นอย่างแรง ใช้พลังแช่แข็งพวกมันและสร้างก้อนน้ำแข็งแหลมแทงร่างยักษ์น้ำแข็งอย่างแม่นยำ เช่นเดียวกับโลกิที่ใช้เวทย์พรางตาจู่โจมด้วยมีดสั้นใส่ยักษ์พวกนั้นเช่นกัน


                    ตอนนั้นเองยักษ์ตัวหนึ่งขว้างหอกเข้าใส่โลกิ เอลซ่าหันไปเห็นเหตการณ์เพียงช่วงเสี้ยววินาที เธอโผเข้าผลักเทพหนุ่มออกไปอย่างแรง แล้วหอกอันนั้นก็พุ่งแทงเข้าใส่ร่างของเธออย่างเหมาะเจาะพอดี หญิงสาวทรุดลงช้า ๆ  ไปบนพื้น


    โลกิเบิกตาโพลง ดวงตาสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานอย่างรวดเร็วว เขาหันไปฆ่าเหล่ายักษ์อย่างบ้าคลั่ง ใช้มีดสับเข้าไปที่หน้าของมันจนกลายเป็นเนื้อยุยเละ ๆ  ร่างเหล่ายักษ์นอนตายเละเทะด้วยสภาพน่าอนาถ ชายหนุ่มหอบหายใจเหนื่อยอ่อน ก่อนจะวิ่งหามาหญิงสาวที่นอนกองกับพื้น เขาค่อย ๆ ประคองร่างเธอขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา


    เอลซ่า เจ้าต้องไม่เป็นอะไร อย่าตายนะ ข้าขอโทษ


    ภาพตรงหน้าหญิงสาวเลือนลางลงทุกที เอลซ่าส่ายหน้าเบา ๆ ให้โลกิเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ราชินีสาวพยายามอดทนฝืนข่มความเจ็บไว้ให้มากที่สุด ร่างกายเย็นเฉียบขึ้นเรื่อย ๆจนรู้สึกได้ ดวงตาของเธอค่อย ๆ ปิดลงโดยมีภาพโลกิที่กำลังหลั่งน้ำตาเป็นภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็น...


    ไม่!!!!!”



    ....................................



    เอลซ่าลืมตาขึ้นช้า ๆ หัวสมองมึนเบลอจนต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้ แล้วเธอก็พบว่าที่ ๆ เธออยู่ตอนนี้ดูไม่เหมือนวังที่เอเรนเดลเอาเสียเลย หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างสงสัย  ห้องเป็นห้องรูปทรงประหลาด ๆ สีทองเรืองแสงอ่อน ๆ ดูสวยงามราวกับไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์ธรรมดา


    แล้วที่นี่ที่ไหน?


    หญิงสาวก้มลงมองดูตัวเอง เห็นผ้าพันแผลที่พันแน่นไปทั่วอกจนรู้สึกอึดอัด เอลซ่าทบทวนความสงจำในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเกิดนึกถึงโลกิขึ้นมา  ป่านนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ราชินีสาวมองซ้ายมองว่าแต่ก็ไม่พบวี่แววของเทพหนุ่มแต่อย่างใด


    ตอนนั้นเองที่ประตูเปิดออก ชายชราท่าทางสง่าในชุดเกราะลวดลายประหลาดเดินเข้ามาเข้ามาหาเธอที่ข้างเตียง ตาที่มีอยู่ข้างเดียวของเขาจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวอย่างพิจารณา ก่อนจะโผเข้ากอดเอลซ่าเต็มรัก


    โลกิบอกข้าหมดแล้ว โอ้ ข้าไม่อยากเชื่อเลย ลูกสาวของข้า


    คุณ..คือ?”


    ข้าโอดิน พ่อของเจ้าไงเด็กน้อย มหาเทพประคองหน้าเด็กสาวตรงหน้าขึ้นด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มยินดี ช่างงามอะไรขนาดนี้ ได้ข้ามาเยอะจริงเชียว ว่าแต่เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม ตอนข้ารู้เรื่องข้าแทบจะเป็นลมเสียให้ได้


    ข้าไม่เป็นอะไรหรอกคะ ข้าสบายดี...เอ่อ..พ่อ..เอลซ่าพูดเสียงแผ่ว เธอไม่คุ้นเอาเสียเลยกับการเรียกชายคนนี้ว่าพ่อ


    โอดินยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เขาลูบหัวเด็กสาวตรงหน้าอย่างเอ็นดู


    เอาเถอะ เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ คงต้องการพักผ่อนเยอะ ๆ  ข้าไม่กวนเจ้าแล้วล่ะ พักผ่อนเถอะนะ” จอมเทพเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องไป เหลือเพียงเอลซ่าอยู่ลำพัง หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา นึกไปถึงครอบครัวของตนเอง น้องสาว และเมืองเอเรนเดล เหมือนจะทำใจยอมรับในความจริงได้ถึงเรื่องที่เธอไม่ใช่สายเลือดแห่งเอเรนเดล แต่ลึก ๆ ในใจก็อดเสียใจไม่ได้อยู่ดี


    ไม่มีใครแทนที่พ่อกับแม่และน้องสาวในใจเธอ ได้แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเธอเลยก็ตาม


    เสียงประตูเปิดออกอีกครั้งเรียกสติเธอให้กลับมาดังเดิม หญิงสาวหันไปตามเสียง ปรากฏร่างสูงที่คุ้นเคยในชุดคลุมสีดำเดินเข้ามา เขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทีลังเล ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ เตียงอย่างเงียบ ๆ


    เจ้าไม่เป็นอะไรมากนะ


     ข้าสิต้องถามท่าน ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าโลกิ


    ก็อย่างที่เจ้าเห็น ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ชายหนุ่มพูด แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน


    เอลซ่า ข้าขอโทษสำหรับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ข้าอยากสารภาพ เรื่องทุกอย่างเป็นแผนของข้า ข้าเกลียดพ่อ เกลียดพี่ชายของตัวเอง ข้าอยากทำลายทุกอย่างให้พินาศ ข้าจึงร่วมมือกับยักษ์น้ำแข็งตั้งแต่แรกเพื่อล่อเจ้าออกมาและจับเจ้าไว้ หลอกล่อให้เจ้าหลงกลสืบหาตัวตนของตัวเองให้จิตใจเจ้าจมในความมืด ให้พลังของเจ้าแช่แข็งมิดการ์ดให้ตกอยู่ในความหนาวเหน็บ คืนอำนาจแก่เหล่ายักษ์น้ำแข็งอีกครั้ง” เทพหนุ่มเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าที่จะสบตาหญิงสาวตรงหน้า แต่เพราะเจ้าทำให้ข้าได้เข้าใจทุกอย่าง ข้ามันงี่เง่าเอง ทุกคนรักข้า แต่ข้ากลับมองข้ามไปเพราะเอาแต่คิดว่าตัวเองแปลกแยกแตกต่าง ข้าพึ่งเข้าใจตอนนั้นเอง ข้าจึงไม่ยอมส่งเจ้าให้ยักษ์พวกนั้น ทั้งหมดคือความผิดของข้าเองเอลซ่า


    เอลซ่านิ่งอึ้ง เธอมีสีหน้าตกใจไม่น้อยหลังจากฟังที่โลกิพูดจบ หญิงสาวเผยรอยยิ้มอ่อน ๆ และพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของชายหนุ่มตรงหน้า

    ข้าเข้าใจ ไม่เป็นไร


    ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ ด้วยรอยยิ้ม ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากคนทั้งคู่อีก มีเพียงแสงอาทิตย์สอดส่องลอดเข้ามาตามหน้าต่างบ่งบอกถึงสิ่งใหม่ที่ได้เริ่มต้นขึ้น



    ......................................



    เมืองเอเรนเดลยังสงบสุขอย่างที่มันเคยเป็น ชาวบ้านยังคงพูดคุยหัวเราะอย่างสนุกสนาน เด็กน้อยพากันวิ่งแข่งไปทั่วเมือง ผู้คนมากมายเดินขวั่กไขว่แน่นขนัด บาดแผลจากเรื่องราวเมื่อครั้งก่อนเจือจางจนแทบจะหายสนิท


    ภายในพระราชวังกว้างใหญ่ ประตูทุกบานปิดสนิท ทุกอย่างเงียบเชียบไร้การเคลื่อนไหว ในห้องนอนกว้างใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องนอนของราชินีเอลซ่า มีร่างของอันนาที่นั่งเงียบ ๆ บนโซฟาอยู่คนเดียว นับตั้งแต่พี่สาวหายตัวไปเธอก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องของพี่สาว เฝ้ามองดูรูปพ่อแม่และพี่สาวของเธอด้วยความปวดร้าว สูญสิ้นเสาหลักผู้เป็นดวงใจเสมือนโลกทั้งใบตรงหน้าได้พังทลายลงไป แม้คริสตอฟจะพยายามหาทางปลอบใจเธอแค่ไหน แต่มันก็ไม่ช่วยให้หญิงสาวมีอาการดีขึ้นเลย


    ประตูห้องนอนเปิดออกอันนาหันไปมองด้วยความแปลกใจ ทันทีที่เธอเห็นสิ่งที่อยู่หน้าประตู ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างที่สุด


    โอ้ ไม่อยากจะเชื่อ พี่เอลซ่า!!!” อันนาโผเข้ากอดพี่สาวของตนแน่น เอลซ่าหัวเราะขบขัน เธอลูบหัวน้องสาวตัวเองเบา ๆ อย่างเอ็นดู


    รัดพี่ซะพี่แทบหายใจไม่ออกเลยนะอันนา


    พี่หายไปไหนมา รู้ไหมข้าคิดถึงแทบแย่


    พี่มีธุระนิดหน่อยนะ” เอลซ่าประคองแก้มน้องสาวของตนขึ้น สีหน้าอมยิ้มเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งจริงจังขึ้นมาฉับพลัน “อันนา ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว”


    สิบเก้าแล้วคะพี่เอลซ่า


    สิบเก้าปีนี่โตแล้วนะอันนา ดูแลตัวเองได้แล้วใช่ไหม?”


    ทำไมพี่ถามอะไรแปลก ๆ อันนาขมวดคิ้วสงสัย เอลซ่าถอนหายใจเบา ๆ ไม่มั่นใจว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับหญิงสาวตรงหน้าดีไหม เพราะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เธอเองก็หวั่นใจว่าน้องสาวอาจจะรับไม่ได้


    พี่จะยกบัลลังก์ให้เธอครองราชย์ อันนา


    อันนานอ้าปากค้าง สีหน้าซีดเผือดลงไปถนัดตา หญิงสาวเม้มปากแน่นก่อนจะส่ายหน้ารัว ๆ


    ทำไมกัน พี่จะยกบัลลังก์ให้หนูทำไม ไม่มีใครเหมาะสมจะปกครองเอเรนเดลเท่าพี่อีกแล้วนะเอลซ่า


    มันไม่ใช่ของพี่ตั้งแต่แรกแล้วอันนา


    พี่หมายความว่ายังไง?”


    พี่ไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ พี่ถูกเก็บมาเลี้ยง” เหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะ อันนาพูดอะไรไม่ออก เธอยกมือขึ้นปิดปากและส่ายหน้าเบา ๆ ราวกับจะปฎิเสธสิ่งที่ได้ยินจากคนตรงหน้า


    ไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้


    มันเป็นไปแล้วอันนา นี่คือความจริงที่เราทั้งคู่ต้องยอมรับเอลซ่าจับมืออันนาขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “เด็กน้อยที่นี่คือที่ของเธอ ไม่ใช่ที่ของพี่


    เอลซ่า โปรดอย่าพูดแบบนี้ นี้คือที่ของพี่ นี่คือครอบครัวของพี่นะ โปรดเป็นราชินีต่อไป เอเรนเดลต้องการพี่


    เอเรนเดลต้องการเธอมากกว่าอันนา เราทุกคนล้วนมีชะตาของตัวเองเอลซ่ากอดอันนาแน่น “ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นน้องพี่เสมอ


    พี่ก็เป็นพี่ของฉันเสมอนะอันนาร้องไห้ เธอเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เอลซ่ากำลังสื่อกับเธอ เอลซ่าเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาแห่งความเข้าใจ


    เจ้าต้องดูแลบ้านเมืองต่อไปในคราวที่พี่ไม่อยู่ อดทนและเข้มแข็งในฐานะแม่ของแผ่นดิน


    เอลซ่า พี่จะไปไหน อยู่ด้วยกันเถอะ ไม่มีพี่ฉันก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง


    อันนาน้องพี่ เจ้าโตแล้วนะ อย่าติดพี่มากสิ ต้องดูแลตัวเองได้แล้ว” เอลซ่าลูบหน้าน้องสาวเธอเบา ๆ ”พี่บอกไปแล้วเราทุกคนมีชะตาของตัวเอง พี่ก็ต้องไปตามทางของพี่ ส่วนน้องก็ต้องไปตามทางของน้อง เราอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะอันนา


    แล้วพี่จะกลับมาหรือเปล่า


    สักวัน พี่จะกลับมาเยี่ยมเธอ” เอลซ่ากอดลาอันนาเป็นครั้งสุดท้าย อันนาซบไหล่พี่สาวของตน เสียงอู้อี้ปนสะอื้นดังลอดออกมาเบา ๆ


    ฉันรักพี่นะเอลซ่า


    พี่ก็รักเธออันนา



    ................................



    ณ ปราสาทใหญ่กลางเมืองแอสการ์ด เมืองแห่งเหล่าทวยเทพวงศ์วารอีเซอร์ ที่ตรงริมระเบียงในมุมหนึ่งปราสาท มีร่างของสองหนุ่มสาวชาวเทพยืนพูดคุยกันอยู่อย่างออกรส

    เอลซ่า เจ้าอยากลองไปเที่ยวดินแดนที่เหลือของทั้งเก้าโลกดูบ้างไหม


    เอ่อ..ข้ายังไม่ได้คิดสำหรับการออกไปเที่ยวหรอกนะ ฟังจากวีรกรรมที่ธอร์กับท่านร่วมทำกันมาในการผจญภัย มันน่าสนุกนะแต่ดูจะ..ไม่น่ารื่นรมย์สำหรับสตรีเท่าไร"


    "บางทีเจ้าอาจชอบมัน..ไม่สิ เจ้าต้องชอบมัน" เทพหนุ่มอมยิ้มนิด ๆ พร้อมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เอลซ่าหรี่ตาลงมองโลกิด้วยความแปลกใจ


     "ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าต้องชอบมันล่ะ?"


    "เพราะข้ารู้ใจเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร" โลกิยื่นหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาว "เจ้าจะชอบมันเหมือนที่ เจ้าชอบ..."

    "ชอบอะไรงั้นเหรอ?"


     เทพหนุ่มไม่ตอบคำถาม เขาดึงตัวหญิงสาวตรงหน้าเข้ามาจูบดูดดื่มอย่างไม่ให้เธอได้ทันตั้งตัว ท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันงดงามของแอสการ์ดท้องฟ้าเปิดกว้างแจ่มใส่ เสียงเหล่านกกู่ร้องราวกับแสดงความยินดีให้คนทั้งคู่



    TheEnd

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in